Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ตลาดหุ้นโลกแบบนี้ ลงทุนอย่างไรดี
โดย : ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ตลาดหุ้นโลกแบบนี้ ลงทุนอย่างไรดี

17 พ.ค. 68
01:00 น.
แชร์

ตลาดหุ้นจะขึ้นจะลงยากเกินใครจะมาคาดเดาล่วงหน้าได้จริงๆ ครับ ปัจจัยต่างๆ รอบด้านที่เหนือการควบคุมได้ครับ 

ทุกคนคงเห็นกันจะจะ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าแบบ “ตอบโต้” (reciprocal tariffs) เมื่อต้นเดือนเมษายนนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระเนระนาด เอาเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ ก็ร่วงลง 10% กลายเป็นเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (bear market) ทันที

ท่ามกลางตลาด wait & see จะไหลลงไปจุดต่ำสุดตรงไหนดี?? 

แต่จู่ๆ ช่วงรอยต่อเข้าสู่เดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้น 9 วันติดๆ กัน ทั้งที่เพิ่งผ่านข่าวร้าย GDP สหรัฐฯ ไตรมาสแรก ติดลบ 0.3% แต่พอมีตัวเลขต่างๆ ของตลาดแรงงานออกมาดีกว่าคาด แม้จะชะลอตัวลงแต่กลายเป็นมีข่าวบวกดันตลาดขึ้น และยังมีข่าวดีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งที่เปิดผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาเติบโตดีอีกด้วย  ทั่วโลกต่างกังขาขึ้นมาว่า “หุ้นสหรัฐฯ จะฟองสบู่แตกกี่โมง?” หรือแค่พักช่วงสั้นเพื่อจะไปต่อกันแน่!!

ยามนี้กูรูทั่วโลกที่แห่ตุนเงินสดได้แต่เฝ้ารอต่อไป แม้แต่คุณปู่ “Warren Buffett” นักลงทุนใหญ่เบอร์หนึ่งของโลก ก็ตุนเงินสดมาข้ามปีแล้ว ทุกคนต่างพูดเสียงเดียวกันว่า ได้กลิ่นฟองสบู่หุ้นสหรัฐฯ…แต่ทำไมไม่แตก!!

ท่ามกลางภาพหลอน ทรัมป์ทำสงครามการค้า 2.0 โดยใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างแข็งกร้าว การมุ่งปะทะกับพันธมิตรและท่าทีเปลี่ยนแปลงรายวันและรวดเร็วเกินตลาดจะรับมือได้ ทำเอานักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลกจับทิศทางไม่ถูก ว่านโยบายการค้าแบบนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร

แม้แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ก็ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 6-7 พ.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ตลาดคาดเดา ว่าเฟดยังต้อง Wait & See นโยบายทางการค้า  

ท่ามกลางพายุ “สงครามการค้า” ฟาดฟันทั่วโลกอย่างบ้าคลั่ง ลากดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 7.9% นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ที่ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง จนถึงปิดตลาดวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ตลาดตกอยู่ในความผันผวนขาลง ผู้คนหวาดหวั่นเขากำลังนำเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย ตอกย้ำด้วย GDP ไตรมาสแรกที่ออกมาหดตัว ชาวอเมริกันกำลังเดือดร้อนกับสินค้าราคาแพงจากต้นทุนภาษีสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น 

ยุคทรัมป์ 2.0 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนักสุดในรอบ 50 ปี นับเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดสำหรับการเริ่มต้นวาระประธานาธิบดีใหม่ นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 โดยผลการดำเนินงานของทรัมป์แย่ที่สุดเป็นอันดับสองในช่วง 100 วันแรกของประธานาธิบดีรายใหม่ รองจากยุคของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เมื่อปี 1973 ซึ่ง S&P 500 ร่วงถึง 9.9% หลังจากนโยบายเศรษฐกิจที่เขาใช้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้เกิดภาวะถดถอยในปี 1973–1975 และต่อมาเขาก็ลาออกในปี 1974 จากคดีอื้อฉาววอเตอร์เกต (ข้อมูลจาก CFRA Research )

ขณะที่สถิติหุ้นสหรัฐฯ ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1944 - 2020 โดยเฉลี่ยแล้ว S&P 500 มักจะเพิ่มขึ้น 2.1% ในช่วง 100 วันแรกของประธานาธิบดีใหม่

สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคของทรัมป์ถือว่าตรงกันข้ามกับความหวังในช่วงหลังชนะเลือกตั้งอย่างชัดเจน ตอนทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความคาดหวังว่าจะลดภาษีและลดกฎระเบียบทางธุรกิจ แต่หลังวันเลือกตั้งถึงวันสาบานตน ดัชนีก็เพิ่มขึ้นเพียง 3.7% เท่านั้น

ภาพจาก AFP: ทรัมป์ 2.0

อย่างไรก็ตาม เมื่อทรัมป์เริ่มดำเนินนโยบายในช่วงต้นวาระ โดยเฉพาะการเร่งผลักดันนโยบายกีดกันทางการค้าตามที่หาเสียงไว้ กลับสร้างความกังวลต่อนักลงทุน เพราะกลัวว่าจะยิ่งเพิ่มเงินเฟ้อและผลักเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ว่าทรัมป์จะออกมาผ่อนปรนนโยบายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ โดยให้เวลาประเทศต่างๆ 90 วันในการเจรจาใหม่ แต่ก็ทำให้ตลาดฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย นั่นเพราะนักลงทุนจำนวนมากยังคงกังวลว่าตลาดจะยังมีการร่วงลงต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ซึ่งเคยปิดที่จุดสูงสุด 6,144.15 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ แล้วปรับลดลงมาอยู่ที่ 5,525.21 เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ผ่านมา แต่เมื่อต้นเดือนนี้ (2 พ.ค.) ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.4% มาปิดที่ 5,693.84 จุด ถือเป็นการดีดกลับขึ้นมายืนเหนือช่วงที่ทรัมป์รับตำแหน่งแล้ว โดยดัชนีฯ ปรับขึ้นรวม 10% ในช่วง 9 วันติดต่อกันหลังมีข่าวดีตัวเลขจ้างงานแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี ตลาดรอบนี้เป็นการทำสถิติปิดบวกต่อเนื่องติดกันนานที่สุดในรอบ 20 ปี 

แม้ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นร้อนแรงช่วงสั้นๆ นี้ แต่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับร่วงลง Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลงมาต่ำกว่า 4.3% เนื่องจากนักลงทุนลดการคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงเนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง

สถานการณ์โลกในระยะข้างหน้า ตลาดยังให้ความสำคัญกับ 2-3 ปัจจัยใหญ่ที่เกี่ยวพันกัน

เรื่องแรก ยังวนเวียนกับความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แม้ล่าสุด ทั้ง 2 ฝ่ายมีท่าทีพร้อมจะเจรจากัน แต่ระหว่างเส้นทางการเจรจาล้วนมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็ต้องการรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นอันดับแรก แต่อาจได้เห็นตัวเลขการปรับขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้าจีน อาจลดลงได้บ้างจากที่กำหนด145% 

เรื่องที่สอง ท่าทีของเฟด ส่งสัญญาณดำเนินนโยบายดอกเบี้ยแบบผ่อนคลายมากขึ้นหรือไม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนรอบด้าน ตลาดส่วนใหญ่ประเมินว่า เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 3-4 ครั้งในการประชุม FOMC อีก 5 ครั้งที่เหลือของปีนี้

เนื่องจากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสแรกที่ติดลบ 0.3% สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่เปราะบาง และคาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงที่มาตรการการขึ้นภาษีศุลกากรจะเริ่มออกฤทธิ์กระทบต่อสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ส่งผลต่อภาคการบริโภค เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังนี้ 

เรื่องที่สาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือยที่เริ่มอ่อนแรง ซึ่งล่าสุด ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การใช้จ่ายของภาคประชาชนและภาคธุรกิจในไตรมาสแรกอาจเป็นผลจากการรีบใช้จ่ายก่อนที่ภาษีจะเริ่มมีผลบังคับจริง 

ชี้ให้เห็นถึงความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นต่อการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ในช่วงครบ 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง แม้แต่สายการบินต่างๆ ก็ยกเลิกการคาดการณ์รายได้ของปี 2025 โดยให้เหตุผลว่าภาษีนำเข้าทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและทำให้ผู้คนลังเลที่จะเดินทาง

ทั้งนี้ ไตรมาสแรก GDP สหรัฐฯ ติดลบ 0.3% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยมีสาเหตุหลักจากการนำเข้าสินค้าจำนวนมากหลังการปรับขึ้นภาษีศุลกากร ส่วนอัตรา เงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานปรับตัวลดลง

ขณะที่ “ทรัมป์” กลับย้ำว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ แค่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และจะกลับมาแข็งแกร่งในไม่ช้า เขาปฏิเสธความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยระยะสั้น

แต่ “Jamie Dimon” ซีอีโอของ JP Morgan กล่าว “Best case scenario ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตอนนี้ คือการเกิด Recession”

นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสที่สอง หากการนำเข้าลดลง แต่ก็เตือนว่าปัญหาที่แท้จริงคือความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีที่เปลี่ยนแปลงบ่อยของรัฐบาล หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะ “stagflation” ซึ่งคือช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตช้าแต่เงินเฟ้อสูง

แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีเสียงเตือนฟาดมาจาก “คุณปู่ Warren Buffett”นักลงทุนระดับตำนานว่า“การกีดกันการค้า และ ภาษีศุลกากร อาจเป็นการกระทำแห่งสงคราม อันจะนำไปสู่สิ่งที่เลวร้าย”

คุณปู่ Buffett ออกโรงกล่าวไปถึงทรัมป์ว่า “การค้าระหว่างประเทศ ไม่ควรถูกใช้เป็นอาวุธ”

“ในความเห็นของผม ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อคุณมีคน 7,500 ล้านคนที่ไม่ชอบคุณเลย และมีคนอีก 300 ล้านคนที่คุยโวโอ้อวดว่าพวกเขาทำได้ดีแค่ไหน ซึ่งผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องถูกต้อง และผมไม่คิดว่ามันฉลาดเลย” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาในงานประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นงานประจำปีที่มีผู้เข้าร่วมงานนี้กว่าหลายพันคนที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา

ปราชญ์แห่งเมืองโอมาฮา มองว่า การขึ้นภาษีศุลกากรและการกีดกันทางการค้า เพื่อลงโทษประเทศอื่นๆ เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และอาจส่งผลลบต่อสหรัฐฯ ในระยะยาว หลังจากที่จีนกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 

ภาพจาก AFP: คุณปู่ Warren Buffett”นักลงทุนระดับตำนาน

กลุ่มธุรกิจในเครือ Berkshire ของคุณปู่ Buffett เอง ก็มีมูลค่ารวมกว่าล้านล้านดอลลาร์ ทั้งธุรกิจประกันภัย การขนส่ง พลังงาน ค้าปลีก และธุรกิจอื่นๆ มากมาย ครอบคลุมภาคธุรกิจต่างๆ ในเศรษฐกิจ จึงไม่แปลกใจที่ประเด็นภาษีศุลกากรและเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่นักลงทุนทั่วโลกเผชิญอยู่ จะสร้างความไม่แน่นอนให้กับกลุ่มบริษัท Berkshire​ ชนิดที่ไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีศุลกากรได้ ในขณะนี้ 

ถึงกระนั้นก็ตามปู่ Buffett เองยังมีมุมมองต่อหุ้นสหรัฐฯ ที่เป็นบวกอยู่มาก  

ตัวชี้วัดมูลค่าหุ้นอย่าง Buffett Indicator ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดผ่านดัชนี Wilshire 5000 ต่อ GDP ของสหรัฐฯ พบว่า กำลังส่งสัญญาณราคาหุ้นโดยรวมยังค่อนข้างถูก ซึ่งสนับสนุนมุมมองว่าการฟื้นตัวร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีช่องว่างให้ไปต่อได้ โดยค่า Indicator ดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา แม้จะมีการดีดตัวขึ้นแรงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม

ด้านนักกลยุทธ์จาก HSBC มองว่า ความไม่แน่นอนทางการค้าที่ยังคงอยู่ นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะโยกการลงทุน (Rotate) ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไปยังตลาดหุ้นยุโรปต่อไป 

เมื่อเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ตลาดมีแต่ความผันผวน ตอนนี้ทุกคนกำลังมองหาจุดต่ำสุดของตลาด เวลาฟื้นตัวก็จะมองว่าเป็นเพียงชั่วคราวในช่วงตลาดหมี แล้วพอร์ตของเราจะทำยังไงกันดี

ผมแนะนำง่ายๆ เลยครับคุณต้องทำการบ้านศึกษาข้อมูลหาสินทรัพย์ที่อยากลงทุนในสภาวะที่ของดีราคาถูกเกิดขึ้นในยามมีวิกฤติเช่นเวลานี้ เมื่อยึดหลักการลงทุนที่ถูกต้องแล้วก็ใช้กลยุทธ์การจัดพอร์ต Core & Satellite ซึ่งถูกพิสูจน์มาแล้วว่าผลตอบแทนดีในระยะยาวความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนแบบกระจุกตัวและเหมาะกับการฝากทุกวิกฤติทุกสถานการณ์

ผมมีข้อมูลดีๆ มาให้ดูว่า ตลาดหุ้นประเทศไหนมีของดีราคาถูกให้คุณเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมครับ Jitta Wealth ทำ Market Prediction ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกคัดกรองออกมาให้ว่า ปัจจุบันประเทศไหนมีหุ้นที่ราคาถูกและน่าลงทุนที่สุด 

  • เริ่มจาก Market Prediction ของหุ้นจีน บอกว่า ถ้าเอาหุ้นจีนที่ดีที่สุด 50 ตัวแรกมาประเมิน พบว่าปัจจุบันหุ้น 48 ตัวมีราคาถูก และอีกสองตัวมีราคาแพง เมื่อเปรียบเทียบจำนวนหุ้นถูกและแพงออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 24 เท่าจะเห็นว่าปัจจุบันหุ้นจีนถูกมาก ผมแนะนำลงทุนเป็นพอร์ตรองตั้งแต่เมื่อต้นปีนี้แล้ว
  • ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกงสุดอยู่ที่ 11.5 เท่า พบว่า มีหุ้นถูก 46 ตัว หุ้นแพง 4 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ประมาณ 11.5 เท่า
  • ตลาดหุ้นเวียดนาม มีหุ้นถูก 36 ตัว หุ้นแพง 14 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 2.57 เท่า
  • ตลาดตลาดญี่ปุ่น มีหุ้นถูก 39 ตัว หุ้นแพง 11 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 3.55 เท่า
  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีหุ้นถูก 24 ตัว หุ้นแพง 26 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 0.92 เท่า ซึ่งปีนี้ถ้าใครลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ก็จะขาดทุนเพราะมีความผันผวนสูง จริงๆแล้วความถูกแพงของหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ในโซนถูกเลย จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นตกมากกว่าขึ้นแน่นอน

ทั้ง 4-5 ตลาดนี้ ผมมองว่ายังเป็นโอกาสลงทุนในยามวิกฤติได้ครับ ตอนนี้มาดูการจัดพอร์ต Core & Satellite ช่วยให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นทั้งแนวรุกและแนวรับในสถานการณ์ตลาดโลกผันผวน 

สถานการณ์จริงๆ ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ บางปีก็ขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน บางปีลงในทิศทางเดียวกัน แต่ในบางปีก็มีเหมือนกันที่แต่ละตลาดจะขึ้นและลงสวนทางกันเองขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมเวลานั้นๆ เพราะฉะนั้น การจะคาดการณ์ว่า ปีไหนตลาดไหนจะขึ้นหรือจะลง คงไม่ง่ายแน่ๆ บางครั้งถ้าเราอาจทายถูกก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าเวลาทายผิดขึ้นมา ก็อาจจะขาดทุนหนักได้เช่นกัน

ผมได้ทำข้อมูลผลตอบแทนระยะยาวของดัชนีตลาดหุ้นย้อนหลัง 10 ปี ของตลาดหุ้นจีน A-Share (CSI300 TR) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI TR) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น(TOPIX TRI) ตลาดหุ้นไทย (SET TRI) ตลาดหุ้นอเมริกา (S&P500 TRI) และตลาดหุ้นเวียดนาม (VNI TR) พบว่า ทั้ง 6 ตลาดนี้ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่เป็นบวกหมด 

โดยมีตลาดหุ้นฮ่องกงให้ผลตอบแทนต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.13% ต่อปี ส่วนผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 13.10% คือดัชนี S&P 500 ของตลาดอเมริกา แต่ถ้ามองอีกมุม หากลงทุนกระจายตลาดหุ้นทั้ง 6 ประเทศนี้ ให้น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยเท่าๆกัน ก็จะพบว่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 7% ต่อปี

หากคุณอยากเลือกลงทุนแค่ตลาดหุ้นหนึ่งโดยเฉพาะ ก็มีโอกาสที่บางปีอาจจะเลือกได้ตลาดที่ให้ผลตอบแทน 2-3% ก็ได้ หรือเกิดจังหวะแย่ที่เลือกผิดทุกปี เพราะเลือกในประเทศที่ได้ผลตอบแทนแทบต่ำสุดทุกปี คุณก็อาจได้ผลตอบแทนติดลบก็ได้ และถ้าเลือกถูกประเทศ ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนไปถึง 13% แต่ก็มีเคสที่ไม่ได้เลือกตลาดเดียวทุกปี คือ เลือกตลาดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในแต่ละปี ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเกิน 13% ก็ได้ ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้น 100% เสียทีเดียวครับ

แต่สำรับคนที่บอก “เลือกไม่ถูก” จะเอาตลาดไหนดี เลยเลือกซื้อทั้ง 6 ประเทศ ใส่เงินกระจายเท่าๆ กัน จะได้ผลตอบแทนค่าเฉลี่ย 7% เป็นจุดกึ่งกลาง แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว และนี่คือที่มาของการจัดพอร์ต Core & Satellite ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ได้ผลตอบแทนแบบเฉลี่ยต่อปีไปเลย ตอบโจทย์นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งหรือประเทศใดประเทศเดียวครับ 

เคล็ดลับการจัดพอร์ต อยู่ที่ว่าเราควรรับรู้จะลงทุนกระจายความเสี่ยงแค่ไหนที่รับได้และลงทุนกระจายความเสี่ยงแค่ไหนที่รู้สึกว่ามั่นคง 

สำหรับไส้ในของพอร์ต Core ซึ่งเป็นพอร์ตหลัก จะเน้นสร้างผลตอบแทนระยะยาวแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา เมื่อลงทุนกระจายความเสี่ยงในตลาดต่างๆ แม้ว่าบางปีอาจเกิดวิกฤติขึ้นในประเทศนึง ก็ยังมีประเทศอื่นที่ลงทุนอยู่ ซึ่งแต่ละประเทศอาจจะดีจะแย่ในแต่ละปีก็ตาม หรือกระจายลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่นพันธบัตร หุ้นกู้คุณภาพ ทองคำ หากช่วงใดที่สินทรัพย์หนึ่งขาลง ก็ยังมีสินทรัพย์ที่เหลือปรับตัวในทิศทางขาขึ้นหรือทรงตัว ทำให้พอร์ตหลักนี้ยังมีการเติบโตไปได้เรื่อยๆในระยะยาว

ส่วนพอร์ต Satellite เป็นพอร์ตรองที่ลงทุนแบบมุ่งเน้นมากขึ้น ซึ่งอาจจะเลือกเป็นรายประเทศ รายอุตสาหกรรม หรือลงทุนหุ้นทุกตัวก็ได้ ถ้าคิดว่ามั่นใจว่าจะเติบโตมีอนาคตดี ซึ่งก็ต้องหาข้อมูลเชิงลึกของตัวตลาด หรือตัวกลุ่มตัวหุ้นที่จะลงทุนเชิงลึก ซึ่งผมได้พูดถึงตลาดหุ้นที่น่าลงทุนให้แล้ว ผ่าน Market Prediction 4-5 ประเทศ พอร์ตรองนี้จะเป็นตัวคว้าโอกาสลงทุนดังนั้น การเลือกทรัพย์สินให้ถูกต้อง ก็จะช่วยให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเอง

ควรจัดน้ำหนักของ 2 พอร์ตนี้อย่างไรดี 

ปกติ นักลงทุนทั่วไป ต้องการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ไม่อยากนอนไม่หลับทุกคืน ก็ต้องเน้นลงทุนกระจายความเสี่ยง ซึ่งก็ต้องให้น้ำหนักกับพอร์ตหลัก 80% และพอร์ตรอง 20% ซึ่งปกติ พอร์ตรองจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า ซึ่งหากเลือกลงทุนผิดก็จะเสียหาย 20% คือ ขาดทุนกลายเป็นศูนย์ไป แต่ก็ยังมีพอร์ตหลัก 80% ที่ลงทุนกระจายความเสี่ยงทั่วโลก หากสร้างผลตอบแทนได้ 8%ต่อปี ถ้าพอร์ตหลักถือจนถึง 3 ปี ก็เท่ากับคุณมีเงินงอกขึ้นมา คืนเท่าๆกับตัวพอร์ตรองที่ขาดทุนไป ดังนั้น หากพอร์ตนี้ถือระยะยาว 3 ปี พอร์ตก็มีโอกาสที่จะกลับมาขนาดเท่าเดิมได้ คุณก็จะไม่รู้สึกเครียดมาแล้วใช่มั้ยครับ 

แต่ในทางถ้ากลับกัน ถ้าเลือกให้น้ำหนักพอร์ตรองสัดส่วน 100% หรือ 50% จริงๆเลย เวลาขาดทุนก็จะหายไปหมด ซึ่งหากอยากจะกู้กลับมาได้ คงจะต้องใช้เวลาเวลานานมากๆครับหรืออาจจะกู้พอร์ตกลับมาไม่ได้ด้วยซ้ำยิ่งในสถานการณ์ความไม่แน่นอนสูง ผมจะแนะนำลงทุนสัดส่วน 80% สำหรับพอร์ตหลัก ทำให้เติบโตอย่างสบายใจ และ 20% สำหรับพอร์ตรอง ก็คว้าโอกาสทำกำไรเพิ่มเติม 

แต่จริงๆ การจัดน้ำหนักทั้ง 2 พอร์ต สามารถปรับเปลี่ยนได้ในแต่ละสถานการณ์และขึ้นกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณเองด้วย

สรุป พอร์ตหลักช่วยให้เราเติบโตได้ตามแผน และจะไม่ทำให้ขาดทุนหนัก ส่วนพอร์ตรองเป็นการคว้าโอกาสทำกำไรที่ดี หากเลือกทรัพย์สินได้ถูกต้อง จะช่วยพยุงพอร์ตในยามที่ตลาดผันผวนหนัก แต่ถ้าทรัพย์สินมีปัญหาหรือตกลงไปอย่างหนัก ก็ยังเสียหายในวงจำกัด 20% ถือเป็นการป้องกันพอร์ต

ส่วนคนที่ต้องการเพิ่มทุนหรือลงทุนแบบ DCA (ถัวเฉลี่ย) ก็สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ แบ่งเงินเพิ่มทุน หรือ DCA นี้ตามสัดส่วนของพอร์ตทั้งสองสมมติว่าอยากเพิ่มทุนเดือนละ 10,000 บาท ก็ให้เพิ่มทุนตามสัดส่วน คือ ในพอร์ตหลักที่ 8,000 บาท และพอร์ตรอง 2,000 บาท 

การจัดพอร์ต Core & Satellite จะเป็นทางออกให้นักลงทุนที่อยากได้พอร์ตหลักที่มั่นคงในระยะยาวและพอร์ตรองที่สามารถยืดหยุ่นและจัดได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี เพื่อสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว พร้อมฝ่าทุกวิกฤติ โดยที่ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงมากเกินไป 

ในสถานการณ์วิกฤติย่อมมีโอกาส เมื่อเห็นของดีราคาถูก ประตูแห่งการลงทุนเปิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากหรือน้อยก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้เริ่มต้นลงทุนครับ

สุดท้ายนี้ผมขอฝากคำพูดของ Seth Klarman นักลงทุนมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่ได้กล่าวไว้ว่า "การลงทุนคือการจ่ายเงินน้อย เพื่อรับเงินมากในอนาคต"  หากคุณลงทุนอย่างมีหลักการที่ถูกต้องแล้ว ผมก็เชื่อว่าคุณจะเติบโตเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ครับ

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด

แชร์
ตลาดหุ้นโลกแบบนี้ ลงทุนอย่างไรดี