Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ส่งออกพุ่งแต่โรงงานนิ่ง ไทยเป็นทางผ่านของสวมสิทธิ กดงานผลิตหด คนตกงาน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ส่งออกพุ่งแต่โรงงานนิ่ง ไทยเป็นทางผ่านของสวมสิทธิ กดงานผลิตหด คนตกงาน

19 ธ.ค. 68
17:13 น.
แชร์

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยที่ไม่รวมทองคำเติบโตกว่า 11% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีมาก เทียบกับการคาดการณ์ในช่วงต้นปี การส่งออกที่เติบโตได้ดีมากกว่าปกติอาจทำให้หลายคนเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่ได้เติบโตได้แย่มากนัก

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากิจกรรมในภาคการผลิตในช่วงเวลาเดียวกันกลับแทบไม่เติบโตหรือหดตัวลงในบางช่วงสวนทางกับการส่งออกที่โตต่อเนื่อง ตัวเลขที่สวนทางกันนี้อาจกำลังสะท้อนว่าการส่งออกที่เติบโตได้มากกว่าปกติอาจเป็นเพียง “ภาพลวงตา” ที่ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ดีอีกต่อไป และการดึงดูดการลงทุนเพื่อการส่งออกโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าเพิ่มภายในประเทศอาจไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

KKP Research ชวนสำรวจคำถามสำคัญว่าการส่งออกของไทยที่ยังเติบโตถึงสองหลัก ยังเป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ดีเหมือนในอดีตอยู่หรือไม่?

ทำไมการส่งออกไทยเติบโตได้ดีในปี 2568 ?

 การส่งออกของไทยในปี 2568 ขยายตัวอย่างโดดเด่น โดยในหลายเดือนมูลค่าการส่งออกทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการจัดเก็บข้อมูล อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่า การเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยเฉพาะที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และอาจไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในวงกว้างอย่างแท้จริง

ปัจจัยแรกคือความผันผวนของมูลค่าการส่งออกรายเดือนจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและเครื่องประดับ การส่งออกที่ขยายตัวดีในปีนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ผลิตทองคำ ทำให้ไม่ได้มีกิจกรรมการผลิตในประเทศโดยตรง และยังอยู่ในสถานะนำเข้าสุทธิในหมวดทองคำ เมื่อมูลค่าการส่งออกทองคำเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมด ตัวเลขการส่งออกโดยรวมจึงขยายตัวโดยอัตโนมัติ แม้ว่ากิจกรรมในภาคการผลิตจะไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ปัจจัยที่สองคือการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่เร่งตัวขึ้นมากกว่า 29% ในปีนี้ แม้ว่าสหรัฐฯ จะประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการส่งออกในช่วงต้นปี 2568 ไม่ได้เกิดจากอุปสงค์โลกที่ดีขึ้นในวงกว้าง แต่เป็นผลจากการปรับเส้นทางการค้าและการเร่งส่งออกล่วงหน้า เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 19% ในช่วงเดือนสิงหาคม

แม้หลังการปรับขึ้นภาษีนำเข้าแล้ว การส่งออกไปสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมและกันยายนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้อมูลชี้ว่า หมวดสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 35-40% ของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2567 ยังคงขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าปกติ ขณะที่สินค้าที่ไม่ได้รับการยกเว้นและต้องเผชิญอัตราภาษีที่สูงขึ้นมีการขยายตัวชะลอลง สะท้อนว่าการเติบโตของการส่งออกในช่วงนี้มีลักษณะของการเร่งส่งออกชั่วคราวมากกว่าการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างสินค้า จะเห็นว่าการเติบโตของการส่งออกไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระจุกตัวอยู่ในหมวดคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกที่ไม่รวมทองคำและเครื่องประดับ ซึ่งถือว่าสูงมาก KKP Research ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่สินค้ากลุ่มนี้จะมีมูลค่าเพิ่มภายในประเทศค่อนข้างจำกัด และอาจเข้าข่ายการสวมสิทธิจากจีน สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่ากิจกรรมในภาคการผลิตไม่ได้ขยายตัวตามการเร่งขึ้นของการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ

มูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกลดต่ำลง

เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าการส่งออกกับผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยในช่วงที่ผ่านมา จะพบความไม่สอดคล้องที่ชัดเจนมากขึ้น สินค้าหลายหมวดที่มีมูลค่าการส่งออกเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตรา 15-30% กลับไม่ได้สะท้อนการขยายตัวของการผลิตภายในประเทศ ตรงกันข้าม ผลผลิตในประเทศของสินค้ากลุ่มเหล่านี้กลับหดตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่รวมฮาร์ดดิสก์ เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของการส่งออกไทยในช่วงหลัง

KKP Research ประเมินว่า ความผิดปกติดังกล่าวสะท้อนโครงสร้างการผลิตที่เปลี่ยนไป สินค้ากลุ่มนี้มีการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงขึ้น หรือมี Import content เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และในบางกรณีอาจเข้าข่ายการสวมสิทธิจากต่างประเทศ ทำให้มูลค่าเพิ่มและกิจกรรมการผลิตที่เกิดขึ้นจริงในประเทศมีจำกัด ภาพดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลการนำเข้าในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวขึ้นพร้อมกับการส่งออก สะท้อนว่าความเชื่อมโยงระหว่างการผลิตกับการส่งออกของไทยในปัจจุบันแตกต่างไปจากในอดีตอย่างชัดเจน

ความเสี่ยงของภาคการผลิตคือการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น

นอกเหนือจากประเด็นมูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกไทยที่ลดลง อีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญที่เริ่มชัดเจนขึ้นคือการนำเข้าที่เร่งตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 มูลค่าการนำเข้าขยายตัวมากกว่า 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ข้อมูลส่วนหนึ่งสะท้อนว่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นวัตถุดิบและสินค้าทุนที่ใช้เพื่อการส่งออก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แต่ KKP Research ประเมินว่า สินค้านำเข้าหลายรายการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นสินค้าที่ใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป

ภาพดังกล่าวสะท้อนว่าสินค้าจากต่างประเทศกำลังเข้ามาแข่งขันและตีตลาดในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าราคาต่ำจากจีน ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อมูลค่านำเข้าทั้งหมดที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และในบางอุตสาหกรรมเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ในระยะถัดไป แนวโน้มดังกล่าวมีความเสี่ยงจะทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากภาคการผลิตของจีนยังเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกินในระดับสูง จากอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว ขณะที่การลงทุนในภาคการผลิตยังขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดต่างประเทศต้องกลายเป็นช่องทางรองรับกำลังการผลิตส่วนเกินเหล่านี้ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังเผชิญกับการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนอย่างชัดเจน

สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากกำลังการผลิตในประเทศถูกกดดันจนลดลงถึงจุดที่โรงงานต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่การปิดกิจการของโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการจ้างงาน การใช้จ่ายภายในประเทศ และดุลการค้าของไทยในระยะถัดไป ประเด็นนี้จึงเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ แม้ตัวเลขการส่งออกโดยรวมจะยังคงอยู่ในแดนบวกก็ตาม


แชร์
ส่งออกพุ่งแต่โรงงานนิ่ง ไทยเป็นทางผ่านของสวมสิทธิ กดงานผลิตหด คนตกงาน