
การส่งออกของจีนในเดือนพฤศจิกายนขยายตัวเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ขณะที่ดุลการค้าใน 11 เดือนแรกของปี 68 เกินดุลทะลุระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ 1.08 ล้านล้านดอลลาร์หรือราว 34 ล้านล้านบาท ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง โดยแรงฉุดสำคัญยังคงมาจากการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งทรุดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่แปด แม้จีนและสหรัฐฯ จะเพิ่งบรรลุข้อตกลงทางการค้าในช่วงปลายเดือนตุลาคม แต่คำสั่งซื้อจากตลาดอเมริกายังไม่ฟื้น สะท้อนว่าข้อตกลงดังกล่าวยังไม่สามารถแปลงเป็นผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างชัดเจน
ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า มูลค่าส่งออกเดือนพฤศจิกายนเติบโต 5.9% เมื่อเทียบรายปีในรูปดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในแบบสำรวจของ Reuters คาดไว้ที่ 3.8% และเป็นการดีดกลับจากการหดตัว 1.1% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ด้านการนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.9% ต่ำกว่าคาดที่ 3%
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการส่งออกยังคงเป็นไปอย่างไม่สมดุล เพราะแรงขับเคลื่อนหลักไม่ได้มาจากตลาดสหรัฐซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของจีนอีกต่อไป แต่เกิดจากการเร่งส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น รวมถึงภูมิภาคอาเซียน ในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแรงจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์และความไม่มั่นคงด้านการจ้างงาน ซึ่งจำกัดกำลังซื้อของผู้บริโภคและชะลอการลงทุนของภาคธุรกิจ
ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ระบุว่า มูลค่าการส่งออกของจีนในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 3.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบรายปี ดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในแบบสำรวจของรอยเตอร์สคาดการณ์ไว้ และฟื้นตัวจากเดือนตุลาคมที่หดตัว 1.1% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567
ทั้งนี้ แม้ตัวเลขโดยรวมจะปรับดีขึ้น แต่การส่งออกไปยังสหรัฐกลับทรุดตัวลงอย่างหนัก โดยลดลงเกือบ 29% จากปีก่อนหน้า และเป็นการลดลงในระดับสองหลักต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 สะท้อนผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าและนโยบายกีดกันทางการค้าที่สหรัฐใช้กับจีนตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งยังสะท้อนการปรับแผนห่วงโซ่อุปทานของบริษัทข้ามชาติที่เริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในบางอุตสาหกรรม แม้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะบรรลุข้อตกลงกันที่เกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งรวมถึงการผ่อนคลายมาตรการภาษี การควบคุมการส่งออกแร่สำคัญและเทคโนโลยีขั้นสูง ตลอดจนความร่วมมือควบคุมการลักลอบขนยาเสพติดกลุ่มเฟนทานิล
แม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าภาษีศุลกากรยังคงเป็นกำแพงขวางการค้าระหว่างสองประเทศ แกรี เอ็น นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Natixis ระบุว่า แม้จะมีดีลการค้า แต่สหรัฐฯ ยังคงเก็บภาษีกับสินค้าจีนสูงกว่าหลายประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการจีนยังต้องใช้ฐานการผลิตในประเทศที่สามเป็นทางผ่านเข้าสู่ตลาดอเมริกา ซึ่งแนวโน้มนี้มีโอกาสกลายเป็นโครงสร้างถาวรในระบบการค้าโลก ปัจจุบันอัตราภาษีเฉลี่ยที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับสินค้าจีนยังอยู่ราว 47.5% ขณะที่จีนเก็บภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ ราว 32% โดยตั้งแต่ต้นปี การส่งออกจีนไปสหรัฐฯ ลดลงแล้ว 18.9% และการนำเข้าลดลง 13.2%
ในทางตรงกันข้าม จีนกลับเร่งส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา ละตินอเมริกา และสหภาพยุโรป โดยยอดส่งออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้นกว่า 8% ขณะที่สหภาพยุโรปขยายตัวเกือบ 15% สะท้อนความพยายามของผู้ส่งออกจีนในการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาตลาดเดี่ยว การขยายตัวของตลาดเหล่านี้กลายเป็นแรงพยุงหลักให้ภาพรวมการส่งออกยังเติบโตได้ แม้ตลาดสหรัฐจะชะลอตัวอย่างรุนแรง
การเร่งกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่นทำให้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 จีนมียอดเกินดุลการค้าเกือบ 1.08 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมากกว่ายอดเกินดุลทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 9.92 แสนล้านดอลลาร์ แม้การส่งออกไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง การเกินดุลในระดับสูงนี้สะท้อนการพึ่งพาภาคการค้าภายนอกมากขึ้น เพื่อชดเชยภาวะอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่
ภายใต้กรอบข้อตกลงการค้าล่าสุด จีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องปรับลดภาษีสินค้าระหว่างกัน พร้อมผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการส่งออกในหมวดแร่หายากและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยฝ่ายจีนให้คำมั่นจะเพิ่มการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และยกระดับความร่วมมือในการสกัดกั้นการลักลอบค้ายาเฟนทานิล ซึ่งถือเป็นประเด็นอ่อนไหวที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการเจรจาครั้งนี้
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติสัญญาณการขับเคลื่อนยังค่อนข้างเชื่องช้า แม้ตัวเลขเดือนพฤศจิกายนสะท้อนว่าจีนเพิ่มการนำเข้าถั่วเหลืองขึ้น 13% เป็น 8.1 ล้านตันเมื่อเทียบรายปี แต่ตัวเลขนี้ยังลดลงจากระดับในเดือนตุลาคม บ่งชี้ว่าแผนการซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ตามคำมั่น 12 ล้านตันภายในสิ้นปียังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ขณะที่ภาคธุรกิจยังจับตาความชัดเจนของมาตรการผ่อนคลายทางการค้า ว่าจะส่งผลต่อการค้าและห่วงโซ่อุปทานจริงเพียงใดในช่วงต่อไป
ในอีกด้านหนึ่ง การส่งออกแร่แรร์เอิร์ธของจีนเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน สู่ระดับ 5,494 ตันในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน และสูงกว่า 4,343.5 ตันในเดือนตุลาคม โดยมีรายงานว่ากระทรวงพาณิชย์กำลังออกแบบระบบใบอนุญาตแรร์เอิร์ธฉบับใหม่ ซึ่งอาจช่วยเร่งขั้นตอนการส่งออกในอนาคต
ลินน์ ซง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำจีนแผ่นดินใหญ่ของธนาคาร ING ให้ความเห็นว่า ตัวเลขการส่งออกในเดือนพฤศจิกายนอาจยังไม่สะท้อนผลจากการปรับลดภาษีอย่างเต็มที่ ซึ่งหมายความว่าผลบวกที่แท้จริงของข้อตกลงการค้าอาจจะเริ่มเห็นชัดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากยังเห็นตรงกันว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าความต้องการจากต่างประเทศฟื้นตัวอย่างแท้จริงหรือไม่
ในมุมมองเชิงโครงสร้างระยะยาว นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนยังเชื่อว่าจีนจะสามารถขยายส่วนแบ่งการส่งออกในตลาดโลกต่อไป โดยมอร์แกน สแตนลีย์ประเมินว่า ภายในปี 2573 จีนจะมีส่วนแบ่งการส่งออกโลกเพิ่มขึ้นเป็น 16.5% จากปัจจุบันราว 15% จากความได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง และการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่างรถยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ และแบตเตอรี่
ในช่วงปลายเดือนนี้ ผู้กำหนดนโยบายจีนเตรียมประชุม Central Economic Work Conference เพื่อกำหนดเป้าหมายการเติบโต งบประมาณ และทิศทางนโยบายปีหน้า ก่อนประกาศอย่างเป็นทางการในการประชุม “สองสภา” เดือนมีนาคม นักเศรษฐศาสตร์จาก Pinpoint Asset Management ประเมินว่าการฟื้นตัวของการส่งออกจะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้เข้าใกล้เป้าหมาย “ราว 5%” ในปีนี้ ขณะที่ Goldman Sachs คาดว่าจีนจะคงเป้าหมายการเติบโตปี 2569 ไว้ระดับเดียวกัน แต่จำเป็นต้องออกมาตรการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมตั้งแต่ต้นปีหน้า
ขณะเดียวกัน แม้ภาคการส่งออกจะยังเติบโตได้ดี ภาคโรงงานและภาคการผลิตของจีนกลับหดตัวเป็นเดือนที่แปด โดยคำสั่งซื้อใหม่ยังซบเซา ทั้งจากผลสำรวจทางการและเอกชน ธนาคารวอลล์สตรีทคาดว่าทางการจีนจะขยายเพดานขาดดุลการคลังแบบขยาย (augmented fiscal deficit) เพิ่มอีก 1% ของ GDP ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 20 เบซิสพอยต์ และเพิ่มแรงกระตุ้นเพื่อสกัดวิกฤตอสังหาริมทรัพย์