เวียดนามกำลังเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งสำคัญที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ด้วยแผนสร้าง ศูนย์การเงินระหว่างประเทศคู่เมือง (dual-hub International Financial Center: IFC) ที่จะเชื่อมระหว่างนครโฮจิมินห์ เมืองเศรษฐกิจหลักทางตอนใต้ และเมืองชายฝั่งดานังซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โครงการนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ต้องการยกระดับประเทศจาก “ฐานการผลิตโลก” ไปสู่ “ศูนย์กลางทุนแห่งใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ภายใต้แนวคิดที่ว่าความมั่งคั่งระยะยาวจะต้องขับเคลื่อนด้วยเงินทุน เทคโนโลยี และนวัตกรรม มากกว่าการพึ่งพาแรงงานต้นทุนต่ำเช่นในอดีต
การสร้างศูนย์การเงินคู่เมืองไม่ได้เป็นเพียงแผนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเติบโตของประเทศ จากการขยายตัวเชิงปริมาณสู่การพัฒนาเชิงคุณภาพที่ยั่งยืน เป้าหมายของเวียดนามชัดเจน คือต้องการก้าวสู่สถานะ “ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2588” หรือหนึ่งศตวรรษหลังประกาศเอกราช
แผนนี้จึงเป็นมากกว่าการสร้างย่านธุรกิจใหม่ริมชายหาด หากแต่เป็นการประกาศบทบาทใหม่ของเวียดนามในภูมิภาค ว่าพร้อมจะยืนบนเวทีเดียวกับสิงคโปร์ ฮ่องกง และดูไบ ในฐานะ “ศูนย์ทุนรุ่นใหม่” ที่สะท้อนพลังเศรษฐกิจและความมั่นใจของประเทศกำลังพัฒนาแห่งเอเชียที่ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ
ปัจจุบัน รัฐบาลเวียดนามกำลังเดินหน้าแผนการสร้าง ศูนย์การเงินระหว่างประเทศแบบคู่เมือง (dual-hub International Financial Center: IFC) ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่างนครโฮจิมินห์ เมืองเศรษฐกิจหลักทางตอนใต้ของประเทศ กับเมืองชายฝั่งดานังที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โครงการนี้ถือเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ใหม่ที่มุ่งยกระดับเศรษฐกิจเวียดนามจาก “ฐานการผลิตโลก” ไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางทุนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยมีเป้าหมายระยะยาวเพื่อผลักดันประเทศให้ก้าวสู่สถานะประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2588
โครงการ IFC ของเวียดนามไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการก่อสร้างอาคารสำนักงานสูงระฟ้าหรือย่านธุรกิจหรูหราริมชายฝั่งเท่านั้น แต่เป็นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจทั้งโครงสร้าง ตั้งแต่กฎระเบียบทางการเงิน ระบบภาษี ไปจนถึงการเชื่อมโยงเครือข่ายการลงทุนระหว่างประเทศ รัฐบาลตั้งเป้าที่จะสร้าง “ระบบนิเวศทางการเงิน” ที่ดึงดูดธนาคารระดับโลก กองทุนลงทุน และบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ให้เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศ โดยใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของเวียดนามที่ตั้งอยู่ใจกลางอาเซียนเป็นจุดขายสำคัญ
ริชาร์ด แม็คลีแลน อดีตที่ปรึกษาบริษัท McKinsey และรองประธานสภาที่ปรึกษา IFC ดานัง กล่าวว่า “แม้แนวคิดนี้จะถูกหยิบยกมาพูดถึงมานานหลายปี แต่แรงขับเคลื่อนที่แท้จริงเพิ่งเกิดขึ้นในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเจตจำนงทางการเมืองจากระดับสูงสุดของรัฐบาล และกรอบกฎหมายที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น เขามองว่านี่คือ “จุดเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การลงมือจริง ที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า”
ต่างจากศูนย์การเงินในลอนดอนหรือสิงคโปร์ที่เติบโตขึ้นจากฐานการค้าและตลาดทุนภายในประเทศ เวียดนามเลือกใช้แนวทางใกล้เคียงกับ ดูไบ โดยมุ่งสร้างเมืองใหม่ที่ใช้กฎหมายและระเบียบพิเศษเฉพาะ เพื่อเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองทรัพย์สินทางธุรกิจและลงทุนในตราสารทุนได้อย่างเสรีมากขึ้น
แรงผลักดันสำคัญของโครงการมาจาก โต เลิม (To Lam) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สายเศรษฐกิจเสรีนิยม ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2567 เขาเป็นบุคคลสำคัญที่ผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี” ครอบคลุมการปรับระบบราชการ การคลัง การเงิน และการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับภาคเอกชน
ปัจจุบัน นครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของประเทศ กำลังวางแผนลงทุนกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 227,640 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินสมัยใหม่ ครอบคลุมบริการธนาคาร การจัดการสินทรัพย์และกองทุน ตลาดอนุพันธ์สินค้าโภคภัณฑ์ และ Sandbox สำหรับฟินเทค โดยศูนย์กลางหลักจะตั้งอยู่ในอาคารสูง 55 ชั้น “ไซง่อนมารีนา” ซึ่งเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ รัฐบาลตั้งเป้าเริ่มดำเนินการภายในปลายปีนี้ และให้เปิดเต็มรูปแบบภายในปี 2573
ส่วนเมืองดานังจะกลายเป็นขั้ว “การเงินดิจิทัลและสีเขียว” (Green Finance) ของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน การให้บริการดิจิทัล และตลาดสินทรัพย์คริปโต รัฐบาลคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 65,048 ล้านบาท สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเชื่อมต่อ พร้อมทั้งได้เริ่มทดลองงานธุรการของ IFC แล้วตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา เมืองนี้ยังมีแผนสร้างเครือข่ายรถไฟใต้ดิน (Metro) เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต
นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามยังประกาศโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยมูลค่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมแผนสร้างรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศมูลค่า 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการขยายสนามบิน ท่าเรือ ทางหลวง และโรงไฟฟ้า ขณะที่ทั้งสองเมือง IFC ยังมีแผนพัฒนาเครือข่ายรถไฟใต้ดินเพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจเมืองในอนาคต
ปัจจุบัน รัฐบาลเวียดนามยังอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารระดับโลก เช่น HSBC, Standard Chartered และ Citi รวมถึงกองทุน Dragon Capital, VinaCapital และบริษัทที่ปรึกษา Deloitte, KPMG, TheCityUK และ Tony Blair Institute ตลอดจนหน่วยงานจากสหราชอาณาจักร ดูไบ อาบูดาบี และอัสตานา เพื่อวางโครงข่ายความร่วมมือระดับโลก เป้าหมายคือทำให้ศูนย์การเงินคู่เมือง (ดานัง-โฮจิมินห์) ขยับจากอันดับ 95 ไปสู่ 75 ภายในปี 2578 และติด Top 20 ภายในปี 2588 ในดัชนี Global Financial Centers Index (GFCI)
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ รัฐบาลเตรียมใช้ชุดมาตรการจูงใจระยะยาว 30 ปี ครอบคลุมการลดภาษีนิติบุคคล การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา วีซ่าระยะยาว กระบวนการจดทะเบียนธุรกิจแบบเร่งด่วน การจัดตั้ง Sandbox ด้านกฎระเบียบ และการพัฒนาเทคโนโลยี AI และ Blockchain บริษัทระดับ Fortune 500 จะได้รับสิทธิเข้าร่วมเป็นสมาชิก IFC โดยอัตโนมัติ
โยเคน บีเดอร์มันน์ กรรมการผู้จัดการ World Alliance of International Financial Centers กล่าวว่าขณะนี้ “ในอาเซียนมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อสร้างศูนย์การเงินที่ดึงดูดนักลงทุนได้มากที่สุด ฮ่องกงและสิงคโปร์ยังคงนำอยู่ แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนได้เร็วมาก” พร้อมเปรียบว่า “ประเทศขนาดใหญ่มักมีศูนย์การเงินมากกว่าหนึ่งแห่ง เช่น จีนมีทั้งเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น โฮจิมินห์จึงเปรียบได้กับเซี่ยงไฮ้ ส่วนดานังคือเซินเจิ้น หากไม่มีเซินเจิ้น จีนคงพลาดการพัฒนาทางการเงินครั้งสำคัญในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา”
มิงห์ งอ หัวหน้า Citi เวียดนาม กล่าวว่า “เวียดนามกำลังถูกจับตามองในฐานะว่าที่ศูนย์การเงินระดับโลก เพราะมีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งและเติบโตเร็ว” เขาอธิบายว่า โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้พัฒนาอย่างรวดเร็วจากฐานการผลิตและการส่งออก สู่การดึงดูดเงินทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ต่างชาติเริ่มมองว่า “เวียดนามคือจุดหมายใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า “เส้นทางจากผู้ท้าชิงไปสู่ผู้เล่นระดับโลกจะไม่ง่าย เพราะต้องปฏิรูปทั้งด้านกฎระเบียบ ตลาดทุน และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่กินเวลาหลายปี
ปัจจุบัน ธนาคารกลางเวียดนามยังคงควบคุมเงินตราต่างประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินด่องและสนับสนุนการส่งออก ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจที่เติบโตถึง 8.23% ในไตรมาส 3 ปีนี้ แม้มาตรการดังกล่าวช่วยลดความผันผวน แต่ก็ขัดแย้งกับหลักการของศูนย์การเงินระหว่างประเทศ (IFC) ที่ต้องอาศัย “เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายเงินทุน” เพื่อให้เงินทุนต่างชาติสามารถเข้าออกได้สะดวกและสร้างสภาพคล่องในตลาดทุน
เพื่อหาจุดสมดุล รัฐบาลเวียดนามได้ร่างกฎระเบียบใหม่ โดยอนุญาตให้เงินทุนจาก IFC สามารถไหลเข้าสู่ตลาดภายในประเทศได้ แต่ไม่สามารถไหลกลับออกจากระบบภายใน ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้ในช่วงเริ่มต้นเพื่อป้องกันแรงกระเพื่อมของค่าเงิน ส่วนการเคลื่อนย้ายระหว่าง IFC กับตลาดโลกจะเป็นไปอย่างเสรี โดยใช้โครงสร้างการกำกับที่แยกออกจากระบบการเงินในประเทศ ซึ่งสะท้อนความพยายามของรัฐในการเปิดเสรีอย่างมีเงื่อนไข
วิลลี ทาโนโต ผู้อำนวยการอาวุโสของ Fitch Ratings มองว่า โมเดลนี้จะช่วยให้เวียดนาม “แยกกิจกรรมทางการเงินในประเทศออกจากต่างประเทศ เพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์จากทั้งสองระบบ” กล่าวคือ สถาบันการเงินสามารถระดมทุนสกุลต่างประเทศขนาดใหญ่ผ่าน IFC โดยไม่กระทบต่อฐานทุนและเสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ แต่เขาเตือนว่า “ความแตกต่างของกฎระเบียบอาจเปิดช่องให้เกิดช่องว่างการกำกับ การเก็งกำไรทางกฎหมาย รวมถึงความเสี่ยงด้านฟอกเงินหรือการหลีกเลี่ยงภาษี” ซึ่งเป็นประเด็นที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเวียดนามต้องเผชิญเมื่อเปิดตลาดทุนให้ต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
อีกอุปสรรคสำคัญอยู่ที่ระบบกฎหมาย เนื่องจากเวียดนามใช้ระบบ Civil Law ที่มีกฎเกณฑ์ตายตัวและการตีความจำกัด ขณะที่ศูนย์การเงินระดับโลก เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือดูไบ ต่างใช้ระบบ Common Law ที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามบริบทการค้าโลก อเล็กซานดรา สมิธ กงสุลใหญ่สหราชอาณาจักรในเวียดนาม กล่าวว่า “ศูนย์การเงินระดับโลกส่วนใหญ่ใช้ Common Law ของอังกฤษ ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่นักลงทุนสากล เวียดนามจึงควรพิจารณานำระบบนี้มาใช้ในเขต IFC รวมถึงจัดตั้งศูนย์อนุญาโตตุลาการนานาชาติ และเปิดให้ผู้พิพากษาต่างชาติเข้ามาทำงานร่วมกับศาลภายในประเทศ”
แต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับโดยไม่มีเสียงคัดค้าน ประธานศาลฎีกา เล มิงห์ ตรี แสดงความกังวลว่าการนำ Common Law มาใช้โดยตรงอาจกระทบต่อ “อธิปไตยทางกฎหมาย” ของประเทศ และย้ำว่า “เวียดนามควรรักษารากฐานกฎหมายของตนเองไว้” ขณะที่ ลี เหงียน จาก Tony Blair Institute เสนอแนวทางประนีประนอมว่า “เวียดนามควรเริ่มจากการแต่งตั้งผู้พิพากษาและอนุญาโตตุลาการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบทั้งชุดในทันที”
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมืองดานังได้ประกาศเปิดรับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมาบริหารหน่วยระงับข้อพิพาทของ IFC ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เวียดนามเปิดให้ชาวต่างชาติดำรงตำแหน่งด้านกฎหมายในประเทศ ถือเป็นสัญญาณสำคัญของการทดลองเชิงสถาบันภายใต้กรอบกฎหมายเดิมที่ยังคงอยู่
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามยังเดินหน้าปรับกฎด้านความมั่นคง โดยในต้นเดือนตุลาคมได้เผยร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่ กำหนดให้การลงทุนในสาขาพลังงาน โทรคมนาคม และก่อสร้าง ต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานตำรวจ เพื่อเสริมกลไกความมั่นคงระดับชาติ แม้มาตรการนี้อาจเพิ่มภาระด้านกฎระเบียบและต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่รัฐบาลมองว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเงินทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคยุทธศาสตร์
กระนั้น สัญญาณจากภาคเอกชนกลับค่อนข้างเป็นเชิงบวก ไทเลอร์ แม็คลีฮานี หัวหน้า Apex Group ประจำเวียดนาม กล่าวว่า “เรากำลังเห็นผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลก กองทุนเอกชน ฟินเทค และธนาคารภูมิภาค เริ่มประเมินโอกาสเข้าร่วมใน IFC แล้ว ผู้ที่เคลื่อนไหวก่อนจะได้เปรียบจากจุดแข็งของเวียดนาม ทั้งฐาน FDI ที่แข็งแกร่ง แรงงานมีทักษะ และภาคการเงินที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว” เขาเสริมว่า “แพลตฟอร์มบริหารกองทุน การเงินเชื่อมโยง ESG พันธบัตรสีเขียว และนวัตกรรมฟินเทค จะเป็นหัวใจของระบบนิเวศ IFC ในช่วงเริ่มต้น เพราะสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนสากลในอนาคต”
ด้านโดมินิก สคริฟเฟน ผู้ก่อตั้งและประธาน Dragon Capital ซึ่งบริหารสินทรัพย์ราว 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กล่าวปิดท้ายว่า “เวียดนามอยู่บนเส้นทางแห่งการเรียนรู้และทดลอง การสร้างศูนย์การเงินไม่ใช่เรื่องของอาคารหรือเทคโนโลยีเท่านั้น แต่คือการสร้างระบบนิเวศทางสถาบันใหม่ทั้งหมด สิ่งที่ประเทศลงมือทำในวันนี้จะสะท้อนผลลัพธ์ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า และหากสามารถเดินหน้าได้จริง ศูนย์การเงินเหล่านี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โครงสร้างทางการเงินของเวียดนามเติบโตเต็มวัยในที่สุด”