กรุงเทพมหานคร, 3 กันยายน 2568 – ภาคเอกชนส่งสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประกาศปรับลดประมาณการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประจำปี 2568 ลงอย่างมีนัยสำคัญ มาอยู่ในกรอบเพียง 1.8% - 2.2% ซึ่งเป็นการปรับลดลงต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน สะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ
ในการแถลงข่าวครั้งสำคัญนี้ กกร. ไม่เพียงแต่ฉายภาพความเปราะบางของเศรษฐกิจ แต่ยังได้ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์กับ 3 หน่วยงานเศรษฐกิจหลักของภาครัฐ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อจัดตั้งแพลตฟอร์ม "Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution" ซึ่งถูกวางให้เป็น "พิมพ์เขียว" สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง เพื่อรับมือกับวิกฤตและวางรากฐานการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
ตัวเลขที่ กกร. นำมาแสดงให้เห็นถึง "อาการป่วย" ที่น่ากังวลของเศรษฐกิจไทย โดย GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ขยายตัวได้เพียง 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาสแรก บ่งชี้ถึงโมเมนตัมการเติบโตที่แผ่วลงอย่างชัดเจนในทุกภาคส่วน
ปัญหาได้ลุกลามมาถึงตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกำลังซื้อในประเทศ อัตราการว่างงานในระบบขยับสูงขึ้นเป็น 2.07% แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือตัวเลข "ผู้เสมือนว่างงาน" หรือผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลาและมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ซึ่งพุ่งสูงถึง 2.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นราว 5% จากปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความเดือดร้อนของประชาชนในระดับฐานรากที่กำลังเผชิญกับภาวะรายได้ลดลงสวนทางกับค่าครองชีพ
เมื่อพิจารณาในรายสาขาเศรษฐกิจ พบว่าเครื่องยนต์ขับเคลื่อนหลักต่างพร้อมใจกันอ่อนแรงลง:
ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดตกอยู่ที่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก (สินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท) กำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก เห็นได้จากยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) หรือหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่อาจนำไปสู่การปิดกิจการเป็นวงกว้าง
กกร. คาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีจะยิ่งเลวร้ายลง โดยอาจขยายตัวได้เพียงราว 1% เท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่กดดันทวีความรุนแรงขึ้นคือ "ความไม่แน่นอนทางการเมือง" ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่อาจล่าช้า ทำให้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจหายไปจากระบบ และที่สำคัญคือการบั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในการตัดสินใจลงทุนโครงการใหม่ๆ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้เพิ่มความเสี่ยงที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศอาจ "ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ" (Credit Rating) ของประเทศไทยลง ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของทั้งภาครัฐและเอกชนสูงขึ้นในอนาคต
อีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความฉงนและกังวลใจให้แก่ภาคเอกชนคือ "ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง" ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธาน กกร. ชี้ว่า "การแข็งค่าของเงินบาทมีความสัมพันธ์กับการทะยานขึ้นของราคาทองคำ และธุรกรรมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล มากกว่าจะสะท้อนความแข็งแกร่งของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้เกิดยอด "ความคลาดเคลื่อนทางสถิติ" (Errors & Omissions) ในดุลการชำระเงินสูงมากจนไม่สามารถจำแนกที่มาที่ไปได้ชัดเจนถึงกว่าครึ่งหนึ่งของยอดเกินดุลทั้งหมด สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ดำเนินนโยบายขาดข้อมูลที่แม่นยำในการบริหารจัดการค่าเงิน"
เพื่อเป็นการปฐมพยาบาลเศรษฐกิจในระยะสั้น กกร. ได้ยื่นข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมถึงรัฐบาล 2 ข้อหลัก คือ:
"Reinvent Thailand": พิมพ์เขียวผ่าตัดใหญ่...ทางรอดของเศรษฐกิจไทย
หัวใจสำคัญของการแถลงข่าวในครั้งนี้ คือการเปิดตัวแพลตฟอร์ม "Reinvent Thailand" ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของความร่วมมือเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "แพลตฟอร์มนี้เกิดจากการตระหนักร่วมกันของภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน ทั้งความเหลื่อมล้ำ, หนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์, เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน การแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ไม่เพียงพออีกต่อไป เราจำเป็นต้องสร้างพิมพ์เขียวที่ทุกฝ่ายเป็นเจ้าของร่วมกัน"
หลักการสำคัญของ "Reinvent Thailand" คือ:
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "โครงการนำร่อง 2 เรื่องแรกที่จะผลักดันผ่านแพลตฟอร์มนี้ คือ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างครบวงจร และ การยกระดับขีดความสามารถของภาคเอกชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้และฟื้นฟูความหวังให้กับสังคมไทย"
การเคลื่อนไหวของ กกร. และพันธมิตรในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่สะท้อนว่าภาคเอกชนไม่พร้อมที่จะรออีกต่อไป และนี่คือจุดเริ่มต้นของความพยายามครั้งใหญ่ในการ "ปฏิรูป" ประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักของปัญหาเชิงโครงสร้าง และกลับมามีศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลกอีกครั้ง