
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา นับเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อนายกรัฐมนตรีไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วม หรือ Joint Declaration ท่ามกลางการเป็นสักขีพยานของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประธานอาเซียนปี 2025 เพื่อลดความตึงเครียดของเหตุการณ์ปะทะกันริมชายแดนไทย-กัมพูชา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มีการลงนามกันไปเรียกว่าแถลงการณ์ร่วม ซึ่งไม่ใช่ข้อตกลง ไม่ใช่สนธิสัญญา และไม่มีข้อผูกมัดตามกฎหมาย นำไปสู่คำถามที่ว่า ข้อตกลงที่เกิดขึ้นนี้จะสร้างสันติภาพให้ไทยได้ในอนาคตหรือไม่
Spotlight พูดคุยกับรศ. ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำม.ธรรมศาสตร์ถึงคำถามที่ว่า ทำไมไทยถึงเลือกลงนามในแถลงการณ์ร่วมแทนข้อตกลงอื่น นี่คือเทคนิคทางการทูตอย่างไร และเป็นผลดีต่อไทยอย่างไรบ้าง
รายละเอียดของข้อตกลงที่เกิดขั้นนับเป็นการต่อยอดมาจากข้อตกลงที่เคยทำร่วมกันสมัยที่นายภูมิธรรม เวชยชัย นั่งเก้าอี้รักษาการนายกฯ ไทย จนกลายมาเป็นเงื่อนไข 8 ข้อหลัก ดังต่อไปนี้
1. ยืนยันความแน่วแน่ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองปรเทศตามที่ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ละเว้นการใช้กำลัง แก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ
2. แสดงความยึดมั่นตามข้อตกลงในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
3. ลงนามในเอกสารขอบเขตการจัดตั้งกลไกสังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ และไทย-กัมพูชาพร้อมให้รัฐสมาชิกอาเซียนเข้ามาให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสม
4.ได้ให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ดังนี้:
• ลดกำลังทหาร/อาวุธหนัก: ดำเนินการลดความตึงเครียดทางทหาร และถอนอาวุธหนัก/ทหารระดับสูงออกจากแนวชายแดน ภายใต้การตรวจสอบของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และ AOT
• ยุติวาทกรรมสร้างความเสียหาย: เน้นการลดการเผยแพร่ข้อมูลหรือคำกล่าวหาที่สร้างความเสียหายผ่านช่องทางทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อลดความตึงเครียดในสังคม
• มาตรการสร้างความเชื่อมั่น: ตกลงดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูมิตรภาพ ความเป็นเพื่อนบ้าน และความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองราชวงศ์
• การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม: ทั้งสองประเทศจะร่วมมือเพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิดและพัฒนาสังคมเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน
• ยืนยันการใช้กลไกสันติ: ยืนยันการแก้ไขข้อพิพาทและการจัดทำหลักเขตแดนด้วยสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ (RBC, GBC, JBC) ประสานงานกับท้องถิ่น
5.สองฝ่ายยอมรับการสิ้นสุดเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่ และไทยจะปล่อยเชลยศึกทันที
6.เพิ่มความร่วมมือ แบ่งปันข้อมูล เสริมสร้างความแข็งแกร่งชายแดน เพื่อป้องกันอาชญากรข้ามชาติ
7.ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติตามกฎหมายและหลักการสากล เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้เป็นไปในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีในอนาคต
8.แสดงความขอบคุณต่อ ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ (สหรัฐฯ) และ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม (มาเลเซีย) ที่เข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองประเทศ
อาจารย์ดุลยภาคบอกกับเราว่า คำว่า “แถลงการณ์ร่วม” อาจฟังดูเบาบาง เพราะไม่ได้มีการวางกรอบระยะเวลาของการหยุดยิง และบทลงโทษหากมีการละเมิด รวมถึงไม่ได้พูดถึง MOU43 หรือแผนที่ 1 : 200,000 แต่ก็ส่งผลดีต่อไทยอย่างหนึ่งคือ การพูดถึงกลไกทวิภาคี เพื่อให้ไทยและกัมพูชาลงมาแก้ปัญหากันเอง ผ่านเวที GBC หรือ JBC ที่มีอยู่
“นี่คือสิ่งที่ไทยเน้นย้ำมาตลอด นั่นคือการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี กัมพูชาเขาอยากไปศาลโลก อยากไปพหุภาคี แต่ตัวแถลงการณ์ร่วมตัวนี้เขาเขียนชัดเจนไว้เลยว่า ต้องใช้กลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มี”
นอกจากนี้ อาจารย์ดุลยภาคมองว่า ทีมไทยทำงานได้ค่อนข้างดี นี่ถือเป็นเทคนิคทางการทูตอย่างหนึ่งในการเลือกออกเป็นแถลงการณ์ร่วม เพราะลดเแรงกดดัน และลดข้อผูกมัด มีความยืดหยุ่นมากกว่า ที่สำคัญคือ ช่วยลดแรงกดดันจากประชาชนชาวไทยที่มีต่อรัฐบาลได้ และสร้างบรรยากาศผ่อนคลายตามมา
ในบทบาทของนายกฯ คนใหม่อย่างอนุทิน อาจารย์มองว่า ทำหน้าที่ได้ดีในเวทีครั้งนี้ โดยเฉพาะการผ่อนคลายบรรยากาศความตึงเครียด
อย่างไรก็ตาม การเลือกลงนามในรูปแบบของแถลงการณ์ร่วมก็หมายความว่า การหยุดยิงและเปิดด่านจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันที อาจารย์ดุลยภาคมองว่า เรื่องนี้ต้องอาศัยความจริงใจของทั้งสองฝ่าย กัมพูชาจะปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือไม่ รวมถึงประเทศไทยเราเองด้วย ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า อาจจะต้องรอนานเป็นหลักเดือน หรืออาจจะถึงปีก็เป็นไปได้ สันติภาพจึงจะบังเกิดอย่างเป็นรูปธรรม