
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ลงนาม “บันทึกความเข้าใจด้านแร่ธาตุสำคัญ” กับไทย เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่หายากที่มั่นคงและกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาทรัพยากรของจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์วอชิงตันในการเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในระยะยาว
บันทึกความเข้าใจนี้นับเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ โดยเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าถึงแหล่งทรัพยากรใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในไทยซึ่งมีศักยภาพด้านแร่หายากและโครงสร้างพื้นฐานรองรับการแปรรูป ทั้งยังช่วยให้ภาคเอกชนสหรัฐฯ สามารถเข้าร่วมลงทุนในโครงการสำรวจ การขุด การกลั่น และการรีไซเคิลแร่ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังได้รับโอกาสในการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความร่วมมือด้านมาตรฐานการผลิต ซึ่งจะช่วยสร้างเครือข่ายพันธมิตรด้านแร่ธาตุสำคัญที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในเอเชีย และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากตลาดจีน
ในบทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านไปสำรวจรายละเอียดของกรอบความร่วมมือด้านแร่ธาตุระหว่างไทยและสหรัฐฯ กันว่าทั้งสองประเทศได้กำหนดแนวทางและเป้าหมายไว้ในทิศทางใดบ้าง เพื่อรองรับการแข่งขันด้านทรัพยากรและพลังงานในเวทีโลก
ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างกลไกความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ธาตุที่มั่นคง โปร่งใส และมีความยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการค้า การลงทุน และการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาดและห่วงโซ่อุตสาหกรรมสีเขียวที่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจโลก
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมของทั้งสองประเทศในการเสริมสร้างการกำกับดูแลภาคทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญและการพัฒนาแนวทางการผลิตที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าความมั่นคงของตลาดแร่ธาตุสำคัญจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของการกระจายแหล่งทรัพยากร การใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิลอย่างยั่งยืน โดยสหรัฐฯ และไทยจะร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน สนับสนุนการลงทุนในโครงการสำรวจ การขุด การแปรรูป การกลั่น และการพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ
ข้อตกลงดังกล่าวยังระบุถึงการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปและห่วงโซ่คุณค่าภายในประเทศเป็นลำดับแรก เพื่อให้ไทยมีบทบาทมากกว่าการเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ โดยเน้นการสร้างอุตสาหกรรมปลายน้ำและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากแร่ธาตุ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และวัสดุสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการสนับสนุนการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและนวัตกรรม ทั้งสองประเทศยังตั้งเป้าที่จะส่งเสริมให้ภาคเอกชนของตนเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการที่เกี่ยวข้อง โดยสหรัฐฯ จะได้รับสิทธิ์การลงทุนเบื้องต้นในสินทรัพย์แร่ธาตุสำคัญในประเทศไทย หรือในบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่หรือจดทะเบียนในไทย ซึ่งรวมถึงโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะบุคลากรไทยในอุตสาหกรรมนี้
บันทึกความเข้าใจยังให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภาคแร่ธาตุสำคัญของไทย โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพิจารณาโครงการที่มีศักยภาพสูงเพื่อส่งเสริมให้เกิดห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง ยั่งยืน และมีความรับผิดชอบ รวมถึงการพัฒนาแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุน ลดขั้นตอนการอนุญาต และสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐบาลระดับชาติและท้องถิ่น
ในทางปฏิบัติ ภาคีจะจัดตั้งกลไกความร่วมมือที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมทั้งการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐ การสัมมนา การทำงานร่วมด้านธรณีวิทยา การแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้ การประสานกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานวิจัย ตลอดจนการจัดอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของแรงงานในภาคแร่ธาตุ นอกจากนี้ ภาคีตกลงที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการประกวดราคาและโครงการที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมในโอกาสการลงทุนได้ทันเวลา
ข้อตกลงนี้ยังครอบคลุมถึงการร่วมกันปกป้องตลาดแร่ธาตุภายในประเทศบนพื้นฐานของการค้าที่เสรีและเป็นธรรม โดยทั้งสองฝ่ายตั้งใจจะสร้างตลาดแร่ธาตุที่มีมาตรฐานสูง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ผ่านเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ในการซื้อขายเป็นพิเศษ ภายใต้กรอบราคาที่อาจรวมถึง “ราคาขั้นต่ำ” หรือมาตรการที่คล้ายคลึง เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดและป้องกันการกดราคาจากผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดโลก
ในส่วนของการดำเนินการ ทั้งสองฝ่ายจะประชุมร่วมกันเป็นประจำ ทั้งแบบพบปะโดยตรงและผ่านระบบออนไลน์ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ รวมถึงจัดการประชุมเฉพาะกิจเมื่อเกิดประเด็นเร่งด่วน โดยแต่ละฝ่ายสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าการดำเนินโครงการที่หารือกันนั้นเหมาะสมที่จะดำเนินต่อไปหรือไม่
บันทึกความเข้าใจนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามโดยทั้งสองฝ่าย และการดำเนินงานทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับงบประมาณที่มีอยู่ในแต่ละประเทศ โดยไม่ก่อให้เกิดภาระทางการเงินระหว่างประเทศหรือพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยุติความร่วมมือได้ทุกเมื่อ โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต และการยุติจะไม่กระทบต่อกิจกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญของการขยับเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในการสร้างความมั่นคงทางทรัพยากรและพัฒนาเศรษฐกิจที่พึ่งพาเทคโนโลยีสะอาดมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการแข่งขันระดับโลกในตลาดแร่หายากที่เข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริบทที่หลายประเทศเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่เพื่อลดการพึ่งพาจีน ข้อตกลงนี้จึงไม่เพียงแต่มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวที่เชื่อมโยงความมั่นคงด้านพลังงาน การค้า และอุตสาหกรรมระหว่างสองประเทศอย่างลึกซึ้ง
นอกจากบันทึกความเข้าใจด้านทรัพยากรแร่หายาก สหรัฐอเมริกาและราชอาณาจักรไทยยังได้บรรลุกรอบความร่วมมือเพื่อจัดทำ “ข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน” (Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยข้อตกลงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และการเข้าถึงตลาดของกันและกันอย่างเท่าเทียมและโปร่งใส สหรัฐฯ และไทยต่างยืนยันว่าข้อตกลงใหม่นี้จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และเพิ่มขีดความสามารถของห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนจากมาตรการจำกัดการส่งออกและการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ข้อตกลงฉบับนี้ยังต่อยอดจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศที่มีมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ภายใต้ “สนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ” ปี พ.ศ. 2509 และ “กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าและการลงทุนระหว่างสหรัฐฯ-ไทย” ปี พ.ศ. 2545 โดยถือเป็นก้าวสำคัญที่สุดในรอบหลายทศวรรษที่ทั้งสองประเทศมุ่งยกระดับจากกรอบหารือทั่วไปไปสู่ข้อตกลงที่มีพันธกรณีและกลไกการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม
ประเทศไทยตกลงจะยกเลิกอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าราวร้อยละ 99 ครอบคลุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เทคโนโลยีการผลิต อาหาร และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด เพื่อเพิ่มการแข่งขันและการไหลเวียนของสินค้าเข้าสู่ตลาดไทย ขณะที่สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีศุลกากรที่ร้อยละ 19 สำหรับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทย ตามคำสั่งประธานาธิบดีหมายเลข 14257 ลงวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นมาตรการภายใต้ “American Trade Balance Restoration Act” แต่จะลดเหลือร้อยละศูนย์สำหรับสินค้าที่ได้รับการจัดอยู่ใน “รายชื่อสินค้าพันธมิตรที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์” ตามภาคผนวก III ของคำสั่งประธานาธิบดีหมายเลข 14346 ลงวันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งมีผลให้สินค้าบางกลุ่ม เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษในตลาดสหรัฐฯ
ทั้งสองประเทศตกลงร่วมกันแก้ไขอุปสรรคที่มิใช่ภาษี โดยประเทศไทยจะดำเนินการให้การรับรองยานยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งผ่านมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สามารถจำหน่ายในไทยได้โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบซ้ำ ไทยยังตกลงจะรับรองใบอนุญาตขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (U.S. FDA) สำหรับยาและเครื่องมือแพทย์เป็นที่ยอมรับตามกฎหมายไทยโดยอัตโนมัติ เพื่อเร่งกระบวนการนำเข้าและลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ไทยจะออกใบอนุญาตให้นำเข้าน้ำมันเอทานอลจากสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงตามแผนพลังงานทดแทนแห่งชาติ แก้ไขกฎหมายศุลกากรเพื่อล้มเลิกระบบรางวัลจากการจับกุมสินค้าละเมิดศุลกากร ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าก่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ และจะจัดทำมาตรฐานการกำกับดูแลที่ดี (Good Regulatory Practices) เพื่อเพิ่มความโปร่งใส ความคาดการณ์ได้ และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ
ในภาคเกษตรกรรม ประเทศไทยจะเร่งเปิดตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และสัตว์ปีกของสหรัฐฯ ที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงาน FSIS และจะกำหนดให้ข้อกำหนดการนำเข้าผลิตภัณฑ์พืชสวน รวมถึงผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการกลั่นเอทานอลอย่าง “distiller dried grains with solubles (DDGS)” อยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และการประเมินความเสี่ยงตามแนวทางขององค์การสุขภาพสัตว์โลก (WOAH) และ Codex Alimentarius ไทยยังจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS Joint Committee) เพื่อประสานงานและแก้ไขข้อพิพาททางการค้าในภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง
ข้อตกลงนี้ยังครอบคลุมด้านสิทธิเสรีภาพแรงงาน โดยประเทศไทยจะดำเนินการแก้ไขกฎหมายแรงงานสัมพันธ์เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO Conventions) ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง ไทยจะเพิ่มงบประมาณและขีดความสามารถของหน่วยงานตรวจแรงงาน เพื่อปรับปรุงสภาพการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น ประมง การเกษตร และโรงงานสิ่งทอ พร้อมพัฒนาแผนปฏิบัติการระดับชาติในการขจัดแรงงานบังคับและแรงงานเด็ก
ในด้านสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยตกลงที่จะคงมาตรฐานการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในระดับสูง และบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจะเพิ่มความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการต่อต้านการค้าผลิตภัณฑ์ป่าไม้ที่ตัดไม้ผิดกฎหมาย การคุ้มครองทรัพยากรทางทะเล และการดำเนินมาตรการตาม “ข้อตกลงองค์การการค้าโลกว่าด้วยเงินอุดหนุนภาคการประมง” ไทยยังจะส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และลดของเสียในอุตสาหกรรมการผลิตและอาหาร
ด้านทรัพย์สินทางปัญญา ไทยตกลงที่จะเพิ่มความคุ้มครองในทุกมิติ ทั้งลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร และสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พร้อมจัดการกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์และการใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนอย่างจริงจัง รวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจด้านการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (IP Enforcement Task Force) เพื่อบูรณาการการดำเนินงานระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงยุติธรรม
ในมิติของเศรษฐกิจดิจิทัล ไทยตกลงจะไม่จัดเก็บภาษีบริการดิจิทัลหรือใช้มาตรการเลือกปฏิบัติต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนการโอนข้อมูลข้ามพรมแดนอย่างปลอดภัย การยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับการส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในองค์การการค้าโลก (WTO) การเปิดเสรีข้อจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนสหรัฐฯ ในภาคโทรคมนาคม และการยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ธุรกรรมบัตรเดบิตต้องประมวลผลภายในประเทศ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่เปิดและมีการแข่งขันอย่างเท่าเทียม
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศจะร่วมกันเสริมสร้างความโปร่งใสของรัฐวิสาหกิจ และจัดทำพันธกรณีในการป้องกันพฤติกรรมบิดเบือนทางการค้าของรัฐวิสาหกิจ (SOEs) ที่อาจกระทบต่อการแข่งขันระหว่างประเทศ พร้อมทั้งขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการควบคุมการส่งออก โดยเฉพาะเทคโนโลยีขั้นสูงและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ
ในภาคเอกชน ทั้งสองฝ่ายยังได้ประกาศรับทราบความตกลงทางการค้าหลายฉบับที่จะเกิดขึ้นระหว่างบริษัทสหรัฐฯ และไทย รวมถึงการซื้อผลิตภัณฑ์เกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และ DDGS มูลค่าประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี การซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมันดิบ และอีเทน มูลค่าประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และการจัดซื้อเครื่องบินพาณิชย์จากผู้ผลิตสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำ รวมมูลค่ากว่า 18.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยจะเดินหน้าเจรจาเพื่อสรุปเนื้อหาทั้งหมด เตรียมการลงนามอย่างเป็นทางการ และเข้าสู่กระบวนการภายในประเทศ เพื่อให้ “ข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน” ฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้ ซึ่งจะกลายเป็นข้อตกลงทางการค้าที่มีผลผูกพันมากที่สุดระหว่างสองประเทศในรอบหลายทศวรรษ และจะเป็นหมุดหมายสำคัญในการกำหนดทิศทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคใหม่
นอกจากประเทศไทยแล้ว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม สหรัฐอเมริกายังได้ลงนามในข้อตกลงทางการค้าและแร่ธาตุสำคัญหลายฉบับกับประเทศคู่ค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย กัมพูชา และเวียดนาม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า กระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน และลดการพึ่งพาทรัพยากรจากจีน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ปักกิ่งเข้มงวดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงทั่วโลก
ในวันดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเดินทางเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้ใช้เวทีนี้ลงนามในข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับผู้นำมาเลเซียและกัมพูชา พร้อมทั้งลงนามในกรอบความตกลงทางการค้ากับเวียดนามและไทย โดยเน้นขจัดอุปสรรคทางภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี สนับสนุนการลงทุนร่วม และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงและยั่งยืน
ตามถ้อยแถลงร่วมที่ออกโดยทำเนียบขาว สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีศุลกากรไว้ที่ 19% สำหรับสินค้าที่ส่งออกจากสามประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และกัมพูชา ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ แต่จะลดภาษีเหลือศูนย์สำหรับสินค้าบางรายการตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งฝ่ายบริหาร ขณะที่เวียดนามซึ่งปัจจุบันถูกเก็บภาษีในอัตรา 20% สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ก็ได้ลงนามในกรอบข้อตกลงทางการค้าในลักษณะเดียวกัน โดยเวียดนามให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดช่องว่างทางการค้า หลังจากที่เวียดนามมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 1.23 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา
ในอีกมิติหนึ่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ลงนามในข้อตกลงแยกต่างหากกับรัฐบาลไทยและมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “ลดการพึ่งพาจีน” ของวอชิงตัน โดยเน้นสร้างพันธมิตรในภูมิภาคให้สามารถผลิตและแปรรูปวัตถุดิบที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการทหาร สหรัฐฯ มองว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะมาเลเซียและไทย มีศักยภาพในการเป็นฐานแปรรูปแร่หายากและทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคต
รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า จีนกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อจัดตั้งโรงงานแปรรูปแร่หายากแห่งใหม่ โดยคาดว่ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ “คาซานาห์ เนชั่นแนล” จะร่วมทุนกับบริษัทจีนเพื่อสร้างโรงกลั่นในประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งในการแย่งชิงอิทธิพลด้านทรัพยากรยุทธศาสตร์ของโลก ทั้งนี้ จีนในฐานะผู้ผลิตและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้เข้มงวดต่อการส่งออกเทคโนโลยีการกลั่น ทำให้ผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งหาทางจัดหาทรัพยากรจากแหล่งอื่นเพื่อป้องกันความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน
ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐฯ และมาเลเซีย รัฐบาลทั้งสองตกลงว่ามาเลเซียจะไม่ห้ามหรือจำกัดการส่งออกแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสัญญาณของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าคำมั่นดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะวัตถุดิบดิบหรือรวมถึงแร่ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วด้วย มาเลเซียซึ่งมีทรัพยากรแร่หายากประมาณ 16.1 ล้านตัน ได้เคยประกาศห้ามการส่งออกในรูปแบบดิบมาแล้วหลายปี เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากรและส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำในประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้น
นอกจากนี้ ภายใต้ข้อตกลงทางการค้า มาเลเซียยังได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับอุปกรณ์การบิน เครื่องมือแพทย์ และสินค้าโภคภัณฑ์หลัก เช่น น้ำมันปาล์ม โกโก้ และยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ รัฐมนตรีการค้าของมาเลเซีย เต็งกู ซะฟรูล อะซิซ ระบุว่า ข้อตกลงนี้จะช่วยขยายตลาดและสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการในประเทศ ขณะที่กัมพูชาซึ่งเพิ่งลงนามข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองทศวรรษ ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการเข้าถึงตลาดและการสนับสนุนทางเทคนิคในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเกษตรกรรม เพื่อยกระดับห่วงโซ่การผลิตให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง เวียดนามซึ่งมีฐานการผลิตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้ตกลงร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและสิทธิแรงงาน รวมถึงยอมรับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสหรัฐฯ เพื่อเปิดตลาดให้กว้างขึ้น ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงการค้าดิจิทัล การบริการ และการลงทุน โดยเน้นการอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนและสร้างระบบการค้าที่ยั่งยืน
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความมั่นใจว่าจะสามารถเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้ในเร็ววัน โดยระบุว่า “ทั้งสองประเทศมีความคืบหน้าอย่างมากในการเจรจา และผมเชื่อว่าเราจะหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกันได้” ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการรักษาความสมดุลระหว่างการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์และการเจรจาทางเศรษฐกิจกับจีน