ส่งออกเดือนกันยาฯโต 19% ขยายตัวสูงสุดรอบ 42 เดือน ตลาดสหรัฐฯโต 35.3%

ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนกันยายน 2568 ที่กระทรวงพาณิชย์แถลงออกมาในวันนี้ (27 ตุลาคม 2568) ถือว่าดีเกินคาดไปมากพอสมควร เพราะขยายตัวสูงสุดในรอบ 42 เดือน หรือ 3 ปีกว่า และดุลการค้า พลิกเป็นเกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากในเดือนสิงหาคมขยายตัวต่ำสุดในรอบ 12 เดือน และขาดดุลการค้า 1,964.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯยังแข็งแกร่งดี อัตราการขยายตัวมากถึง 35.3% แม้เผชิญภาษีศุลกากรต่างตอบแทนอัตรา 19% ของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) 

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าภาพรวมจะขยายตัวดี แต่ยังมีบางหมวดหมู่บางอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วง คือ สินค้าเกษตรที่หดตัวลง 18.2% โดยเฉพาะ ‘ข้าว’ ที่การส่งออกในเดือนกันยายนหดตัวถึง 31.4% และหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 แล้ว 

สำหรับแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกของไทยจะยังคงขยายตัว แต่เป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง และยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้งมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่สร้างแรงกดดันและความผันผวนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า

ส่งออกโต 19.0% เกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 นันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนกันยายน 2568 ว่า การส่งออกของไทยในเดือนกันยายน 2568 มีมูลค่า 30,970.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,000,905 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ที่อัตรา 19.0% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 42 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย เหลือขยายตัว 15.7%

“การส่งออกขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นตามความชัดเจนของมาตรการภาษีนำเข้าต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ประกอบกับสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการค้าของสหรัฐฯที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศการค้าโลกฟื้นตัว การส่งออกไปยังตลาดหลักและตลาดรองกลับมาขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังคงอยู่ในภาวะหดตัว” 

ด้านการนำเข้าในเดือนกันยายน มีมูลค่า 29,695.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.2% ดุลการค้า เกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

ทั้งนี้ การส่งออก 9 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 254,146.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13.9% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 13.6% ด้านการนำเข้า มีมูลค่า 254,575.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.9% ดุลการค้า ขาดดุล 429.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ส่วนมูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนกันยายน 2568 การส่งออกมีมูลค่า 1,000,905 ล้านบาท ขยายตัว 12.4% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า การนำเข้า มีมูลค่า971,760 ล้านบาท ขยายตัว 10.7%  ดุลการค้า เกินดุล 29,145 ล้านบาท

ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทมีมูลค่า 8,397,219 ล้านบาท ขยายตัว 5.6% การนำเข้ามีมูลค่า 8,516,656 ล้านบาท ขยายตัว 3.8% ดุลการค้า ขาดดุล 119,437 ล้านบาท

ส่งออกสินค้าเกษตรหดตัว ข้าวน่าห่วง 

มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัว 8.1% จากปีก่อนหน้า หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน โดยสินค้าเกษตรหดตัว 18.2% หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.1% กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน 

สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่แปรรูป, ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์, ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ, น้ำตาลทราย และกุ้งสดแช่เย็น-แช่แข็ง 

ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ข้าว (หดตัว 31.4% และหดตัวต่อเนื่อง 11 เดือน) ยางพารา, ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง, เครื่องดื่ม และสิ่งปรุงรสอาหาร 

ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 0.6% 

สินค้าอุตสาหกรรมโตต่อเนื่อง 18 เดือน

ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกขยายตัว 26.4% ขยายตัวต่อเนื่อง 18 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ขยายตัว 57.9% ขยายตัวต่อเนื่อง 18 เดือน),  รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ), เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 

ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด และเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 

ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 18.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ตลาดสำคัญยังขยายตัว สหรัฐฯโตแกร่ง 35.3%

การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แม้เผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง ขณะเดียวกันการส่งออกไปตลาดอื่นๆ ทั้ง จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน (5) และในตลาดรอง เช่น เอเชียใต้ ทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ล้วนขยายตัว สะท้อนถึงการตอบสนองต่อมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ด้วยการกระจายตลาดทางเลือกใหม่ 

ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ สรุปได้ดังนี้ 

1. ตลาดหลัก ขยายตัว 15.1% 

• ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 35.3% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 28.6%
• ตลาดจีน ขยายตัว 3.2% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 16.1%
• ตลาดอาเซียน (5 ประเทศ) ขยายตัว 20.4% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 6.4%
• ตลาดญี่ปุ่น กลับมาขยายตัวได้ที่ 6.2% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 1.6%
• ตลาดสหภาพยุโรป กลับมาขยายตัวได้ที่ 11.9% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 8.0% 
• ตลาด CLMV หดตัว  9.6% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 6.7%

2. ตลาดรอง ขยายตัว 8.5% 

• ตลาดเอเชียใต้ ขยายตัว 28.6% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 35.8%
• ตลาดทวีปออสเตรเลีย ขยายตัว 2.8% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 หดตัว 7.0% 
• ตะวันออกกลาง ขยายตัว 8.1% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 3.4% 
• ตลาดลาตินอเมริกา ขยายตัว 31.7% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 15.4% 
• ตลาดรัสเซียและกลุ่ม CIS (รัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนีย มอลโดวา อาเซอร์ไบจาน คีร์กิซ อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และยูเครน) ขยายตัว 32.5% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 21.0%
• ตลาดทวีปแอฟริกา หดตัว 12.6% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 1.4%
• ตลาดสหราชอาณาจักร หดตัว 14.2% ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 10.2%

3. ตลาดอื่นๆ ขยายตัว 398.9%  

แนวโน้มโตชะลอ ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยง

กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 ว่าจะยังคงขยายตัว แต่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ยังคงมีความต้องการในตลาดโลก 

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่สร้างแรงกดดันและความผันผวนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า 

“ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายหลายด้าน ทั้งการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเพิ่มการนำเข้าเร่งปิดดีล FTA ที่อยู่ระหว่างเจรจา เข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าในกลุ่มเฝ้าระวัง รวมถึงสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ากล่าว