Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ธปท. มอง GDP ปี 68 โต 2.2% 'คนละครึ่งพลัส' ช่วย 0.2-0.3% ยันเงินไม่ฝืด
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ธปท. มอง GDP ปี 68 โต 2.2% 'คนละครึ่งพลัส' ช่วย 0.2-0.3% ยันเงินไม่ฝืด

22 ต.ค. 68
19:45 น.
แชร์

เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 2.2% จากแรงส่งเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมคาดว่าในปี 2569 การเติบโตจะชะลอต่อเนื่องเหลือ 1.6% ท่ามกลางภาวะส่งออกที่ถูกกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ การผลิตที่หยุดชะงักเป็นช่วง ๆ และการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มแผ่วลง ขณะที่การท่องเที่ยวแม้เริ่มฟื้นตัว แต่ยังต้องต่อสู้กับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าและกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวที่ลดลง

ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว ธปท.มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะ “คนละครึ่งพลัส” และ “เที่ยวดีมีคืน” จะเป็นแรงพยุงสำคัญในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งช่วยเพิ่ม GDP ราว 0.2-0.3% และช่วยลดแรงกดดันจากภาคการบริโภคที่ซบเซา 

ขณะเดียวกัน ธปท.ยืนยันว่าแม้เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำจนแตะศูนย์ แต่เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับมาเป็นบวกได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีหน้า และกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี 2570 พร้อมเตรียมยกเครื่อง “ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)” ใหม่ เพื่อสะท้อนค่าครองชีพจริงของประชาชนให้แม่นยำยิ่งขึ้น และเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจระยะต่อไป

GDP ไทยปี 68 เหลือ 2.2% แนวโน้มชะลอต่อถึงปี 69

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 2.2% สะท้อนแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่อ่อนลงทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ โดยมองว่าแนวโน้มการเติบโตในปี 2569 จะลดลงต่อเนื่องเหลือเพียง 1.6% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพของประเทศอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนสัญญาณชะลอตัวในหลายภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ

นาวสาว ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ระบุว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (H1/68) เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ราว 3% โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการเร่งผลิตและส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค ส่งผลให้ภาคการผลิตและการส่งออกในช่วงต้นปีขยายตัวเกินคาด

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 (H2/68) เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งจากการส่งออกที่ลดลงตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่หดตัว และจากผลกระทบโดยตรงของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลในเชิงปฏิบัติ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของตลาดการค้าโลกที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและแนวโน้มเศรษฐกิจของคู่ค้าหลักที่อ่อนแรง เช่น จีนและยุโรป ยังกดดันภาคการผลิตของไทยอย่างต่อเนื่อง หลายอุตสาหกรรมหลัก เช่น ปิโตรเคมี ยานยนต์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องชะลอหรือหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและระบายสต็อกสินค้า

ธปท. ประเมินว่าในไตรมาส 3 ของปี 2568 GDP จะขยายตัวเพียง 1.5% และจะชะลอต่อเนื่องในไตรมาส 4 เหลือประมาณ 1.3% โดยแรงสนับสนุนหลักในช่วงปลายปีมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้แก่ โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ขยายสิทธิ์ให้ประชาชนกว่า 17 ล้านคน และโครงการ “เที่ยวดีมีคืน” ที่มุ่งกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ธปท. คาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและเพิ่ม GDP ในไตรมาสสุดท้ายได้ราว 0.2-0.3% ซึ่งจะมีส่วนช่วยพยุงบรรยากาศทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงปลายปี

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยเตือนว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งผลของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออก การชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชนจากต้นทุนทางการเงินที่ยังสูง และความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2570 ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจลดลง

การส่งออกเริ่มได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะค่อย ๆ กระทบต่อความต้องการสินค้านำเข้าและปริมาณการค้าโลก ความรุนแรงของผลกระทบขึ้นอยู่กับความสามารถของภาคธุรกิจในการบริหารต้นทุน การเจรจาแบ่งภาระภาษี และการขยายตลาดใหม่ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าสูง

ภาคการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยนักท่องเที่ยวระยะใกล้ลดลงแม้คาดว่าจะกลับมาในช่วงปลายปี ขณะที่นักท่องเที่ยวระยะไกลยังขยายตัว แต่คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 และ 2569 ปรับลดลงเหลือ 33 และ 35 ล้านคน รายได้รวมลดลงเล็กน้อยตามการใช้จ่ายต่อหัวและระยะเวลาพักที่สั้นลง

ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเห็นได้จากการใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็น เช่น รถยนต์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบริการโรงแรมหรือภัตตาคารที่ลดลง แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐช่วงปลายปี 2568 จะช่วยประคองได้บางส่วน แต่แรงส่งจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังเป็นข้อจำกัด

ในระยะยาว เศรษฐกิจไทยยังเผชิญอุปสรรคเชิงโครงสร้างสำคัญ ได้แก่ การเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ทำให้แรงงานลดลง กระบวนการลดหนี้ครัวเรือนที่ช้า การผลิตที่ยังไม่ก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ และการลงทุนภาคเอกชนที่อยู่ในระดับต่ำจากความสามารถในการดึงดูด FDI ที่ลดลง ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงจำกัดการฟื้นตัวในปัจจุบัน แต่ยังบั่นทอนผลิตภาพและศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ท่องเที่ยวทยอยฟื้น จีนเริ่มกลับมา แต่บาทแข็งยังกดดันรายได้

นางสาวปราณี ระบุว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้จะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 โดยแรงหนุนหลักมาจากการเดินทางของนักท่องเที่ยวระยะไกลที่เพิ่มขึ้น และการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญ หลังจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งปรับภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยและคุณภาพบริการ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนค่อย ๆ ฟื้นคืนมา

ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า ปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ประมาณ 33 ล้านคน สร้างรายได้ราว 1.4 ล้านล้านบาท โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะมีสัดส่วนราว 4.4 ล้านคน และในปี 2569 จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดอาจเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน สร้างรายได้รวม 1.5 ล้านล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจีนจะขยายตัวต่อเนื่องเป็นราว 6 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวของตลาดจีนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคบริการ โรงแรม และธุรกิจค้าปลีก

อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นปัจจัยกดดันรายได้ในภาคท่องเที่ยวและการส่งออก โดยตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทแข็งขึ้นราว 5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนของนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นเมื่อมาใช้จ่ายในไทย ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวมีแนวโน้มลดลง และกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลัก

ในส่วนของภาคส่งออก รายงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเริ่มส่งผลชัดเจนต่อสินค้ากลุ่มเกษตร สิ่งทอ และอาหารทะเลแช่แข็ง ซึ่งต้องพึ่งพาการแข่งขันด้านราคาและมีกำไรขั้นต้นต่ำ ขณะที่ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ได้รับผลกระทบมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

ถึงแม้ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) จะอ่อนค่าลงราว 1.5% ในปี 2568 จากภาวะเงินเฟ้อต่ำทั่วโลก แต่ในเชิงจิตวิทยาตลาด ค่าเงินบาทยังถือว่าแข็งค่ากว่าในภูมิภาค ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของผู้ประกอบการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ

เงินเฟ้อศูนย์แต่ยังไม่ฝืด คาดกลับมาเป็นบวกไตรมาส 2/69

ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2568 จะทรงตัวที่ระดับ 0.0% ก่อนจะค่อย ๆ ปรับขึ้นเป็น 0.5% ในปี 2569 และกลับมาอยู่ที่ 1% ในกรอบเป้าหมาย 1-3% ภายในปี 2570 โดยคาดว่าแรงกดดันด้านราคาจะเริ่มกลับมาเป็นบวกตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 และเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3% ได้ในปี 2570

นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนโยบายการเงินของ ธปท. อธิบายว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำมาก เนื่องจากการชะลอตัวของเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยฝั่งอุปทาน เช่น ราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงในบางช่วง ไม่ได้มาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแรง ขณะที่ราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ยังคงทรงตัวในวงกว้าง สะท้อนว่ากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจยังไม่หายไป

ธปท.ระบุว่า ตัวชี้วัดแรงกดดันด้านราคายังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต และการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยระยะ 5-10 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 1.5-1.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่สะท้อนเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาว

นอกจากนี้ โครงสร้างของตะกร้าเงินเฟ้อไทยยังมีสัดส่วนของสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสูงกว่าหลายประเทศ ทำให้เงินเฟ้อไทยอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคาน้ำมันและผลผลิตทางการเกษตร ขณะเดียวกัน ราคาสินค้านำเข้าจากจีน โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องสำอางและสินค้าเกษตรบางประเภท ยังคงมีการแข่งขันสูงและราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่น ส่งผลให้เงินเฟ้อโดยรวมของไทยยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง

นายสุรัชย้ำว่า ภาวะเงินเฟ้อต่ำในปัจจุบันไม่ใช่สัญญาณของเศรษฐกิจที่ซบเซา แต่เป็นผลจากโครงสร้างราคาสินค้าที่พึ่งพาพลังงานและอาหารเป็นหลัก ทั้งนี้ เงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งตัดผลของพลังงานและอาหารสดออกจากการคำนวณ ยังคงอยู่ในระดับ 0.9% ต่อปีในทั้งปี 2568 และ 2569 สะท้อนว่าแรงกดดันด้านราคาภายในประเทศยังคงมีความมั่นคง

ใช้นโยบายผสมผสาน-ดูแล SMEs และเสถียรภาพระบบการเงิน

นายสุรัช ระบุว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจำเป็นต้องอาศัยการประสานงานของ “นโยบายเชิงผสมผสาน” ทั้งด้านการเงิน การคลัง และมาตรการเฉพาะจุดที่ตอบโจทย์ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ โดยนโยบายการเงินจะยังคงอยู่ในทิศทางผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะกลางให้มั่นคง

เขาระบุว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาได้ช่วยบรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนในระดับหนึ่ง แม้ผลของนโยบายจะทยอยปรากฏอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทั่วไปต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ไตรมาสจึงจะส่งผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ การผ่อนคลายด้านการเงินยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสภาพคล่องและสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงที่ความไม่แน่นอนยังสูง

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของสินเชื่อในระบบยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจและความระมัดระวังของสถาบันการเงิน ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่ม SMEs และครัวเรือนรายได้น้อย เพื่อป้องกันปัญหาคุณภาพสินเชื่อในอนาคต

ธปท.อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการเสริมเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องและหนี้เสียอย่างเฉพาะจุด เช่น การออกมาตรการเติมสภาพคล่องให้กลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ การปรับโครงสร้างหนี้ตามลักษณะลูกหนี้ และการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อเร่งจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ให้เร็วขึ้น

นายสุรัชเน้นย้ำว่า ปัญหาหลักของผู้ประกอบการ SMEs ไม่ได้อยู่ที่ระดับดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างอย่างกำลังซื้อในประเทศที่ยังอ่อนแรง การแข่งขันรุนแรงในตลาด และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ดังนั้น การฟื้นตัวของภาคธุรกิจจำเป็นต้องอาศัยทั้งมาตรการเฉพาะจุดและการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ ควบคู่ไปกับการใช้นโยบายการเงินที่เหมาะสม เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ธปท.จ่อทบทวน CPI ใหม่-ยันระบบธนาคารไม่มี “เงินเทา”

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 3 และ 8 ตุลาคม 2568 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยเสียงข้างมากเห็นว่าควรรักษาท่าทีของนโยบายการเงินให้อยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและอุปสงค์ในประเทศที่ยังไม่แข็งแรง ขณะที่กรรมการอีก 2 เสียงเสนอให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะภาคธุรกิจ SMEs และครัวเรือนรายได้น้อย

ที่ประชุมยังหารือประเด็นเรื่องความเหมาะสมของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งปัจจุบันอาจไม่สะท้อนต้นทุนการครองชีพที่แท้จริงของประชาชน เนื่องจากราคาสินค้าบางหมวด เช่น ค่าเช่าบ้านและราคารถยนต์ มีการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าความเป็นจริงในตลาด จึงมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนา “CPI ใหม่” ที่สะท้อนพฤติกรรมการบริโภคและภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนได้แม่นยำมากขึ้น รวมถึงจัดทำ “ดัชนีชี้นำเงินเฟ้อ (Leading Indicators)” เพื่อช่วยประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะสั้นได้รวดเร็วและเที่ยงตรงยิ่งขึ้น

ในอีกประเด็น นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ได้ชี้แจงต่อกรณีที่มีข่าวเชื่อมโยงสถาบันการเงินไทยกับ “เงินเทา” ว่า ธปท.ไม่มีนโยบายสนับสนุนให้สถาบันการเงินใดดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย พร้อมยืนยันว่าธปท.ทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงินในระบบสถาบันการเงินไทย

เขาระบุว่า ปัญหาเงินเทาและอาชญากรรมออนไลน์เป็นความท้าทายระดับโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย โดยประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และหลายประเทศในตะวันออกกลางต่างให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงในลักษณะเดียวกัน ธปท.จึงยืนยันว่าจะไม่ปล่อยให้ระบบการเงินของไทยถูกใช้เป็นช่องทางในการหมุนเวียนเงินที่มาจากกิจกรรมผิดกฎหมาย

โดยสรุป ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อภาคส่งออก การแข็งค่าของเงินบาทที่บั่นทอนรายได้ของผู้ประกอบการ และความเปราะบางในภาคธุรกิจ SMEs ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำใกล้ศูนย์ แต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดตามที่หลายฝ่ายกังวล ทั้งนี้ มาตรการภาครัฐอย่าง “คนละครึ่งพลัส” และ “เที่ยวดีมีคืน” จะเป็นแรงประคองสำคัญในช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ธปท.เตรียมเดินหน้าปรับปรุง “ดัชนี CPI ใหม่” ควบคู่กับการใช้นโยบายการเงินเชิงผสมผสาน เพื่อรักษาเสถียรภาพและพยุงการเติบโตของเศรษฐกิจให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนในช่วงปี 2569-2570


แชร์
ธปท. มอง GDP ปี 68 โต 2.2% 'คนละครึ่งพลัส' ช่วย 0.2-0.3% ยันเงินไม่ฝืด