เดือนแรกของไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว โดยที่ยังไม่มีปัจจัยบวกสำหรับเศรษฐกิจไทย แม้ว่าจะมีชุดนโยบายเศรษฐกิจแบบ ‘Quick Big Win’ จาก ‘รัฐบาลอนุทิน’ แต่ก็ไม่น่าช่วยเศรษฐกิจได้เท่าไรนัก
ดังที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ และชุดนโยบาย ‘Quick Big Win’ จะหนุนการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้จำกัด และ SCB EIC มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะยังโตต่ำอย่างต่อเนื่องทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยคาดว่า GDP ปีนี้และปีหน้าจะเติบโตเพียง 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ
SCB EIC มองว่า การบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไปยังน่าห่วง โดยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 2/2568 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 86.8% แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะมีทิศทางปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่สาเหตุหลักเพราะหนี้ครัวเรือนหดตัว จากทั้งความต้องการกู้ที่ลดลงตามความสามารถในการชำระหนี้และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อตามความกังวลหนี้ด้อยคุณภาพที่ยังสูง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะปรับดีขึ้นบ้างในระยะสั้นจากความชัดเจนทางการเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
สำหรับนโยบายรัฐบาลใหม่ Quick Big Win ของรัฐบาล ที่ตั้งเป้า “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” นั้น SCB EIC มองว่า “เน้นประคองเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ผลกระตุ้น GDP เพิ่มยังจำกัด”
ทั้งนี้ ชุดนโยบาย “Quick Big Win” หลายนโยบายมุ่งกระตุ้นการบริโภคครัวเรือนทันที เช่น มาตรการคนละครึ่ง พลัส วงเงิน 67,000 ล้านบาท มาตรการเร่งให้ภาครัฐใช้จ่ายใน 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2569 โดยจัดสรรจากวงเงินงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจราว 150,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว และเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ
SCB EIC ประเมินว่า ผลของนโยบายคนละครึ่ง พลัส ที่จะกระตุ้น GDP นั้น “ยังจำกัด” เนื่องจากวงเงินจัดสรรจากงบประมาณโครงการอื่น ไม่ได้เป็นเม็ดเงินใหม่ นอกจากนี้บางส่วนของมาตรการอาจรั่วไหลออกจากระบบเศรษฐกิจ เช่น ใช้จ่ายซื้อสินค้านำเข้า หรือใช้จ่ายให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการที่อยู่นอกระบบภาษี
ด้านภาวะเงินเฟ้อ-ภาวะเงินฝืด SCB EIC ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องอีกหลายเดือน และจะยังไม่กลับเข้ากรอบเงินเฟ้อทั้งในปีนี้และปีหน้า สาเหตุหลักมาจากแนวโน้มราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลง และนโยบายช่วยลดค่าครองชีพของรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลหน้าปั๊มที่มีแนวโน้มปรับลดลงเฉลี่ยต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรในปีหน้า ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลก ซึ่งจะช่วยให้สถานะกองทุนน้ำมันกลับเป็นบวกได้ใน Q1/2569
สำหรับมุมมองอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 คาดว่าจะติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีอยู่ที่ -0.1% ส่วนในปี 2569 แม้เงินเฟ้อจะกลับเป็นบวกได้แต่จะยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.2% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ค่อนข้างมาก ท่ามกลางแนวโน้มอุปสงค์ในประเทศที่แผ่วลง
SCB EIC ประเมินว่า แม้ตอนนี้ไทยยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด แต่ความเสี่ยงเงินฝืดเพิ่มขึ้นมาก สะท้อนจาก
1. เงินเฟ้อทั่วไปติดลบนาน 6 เดือนแล้ว และมีแนวโน้มจะติดลบต่อเนื่องถึง Q1/26
2. สินค้าที่ราคาลดลงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 43% ของตะกร้าเงินเฟ้อ ณ ก.ย. (เดือนก่อน 40%) แม้สินค้าที่ราคาลดลงส่วนใหญ่อยู่ในหมวดพลังงานและอาหารสดที่ราคาผันผวนตามมาตรการภาครัฐและปัจจัยอุปทาน แต่เริ่มเห็นกระจายตัวไปราคาหมวดสินค้าพื้นฐานมากขึ้น
3. รายได้ครัวเรือนฟื้นช้า และปรับลดลงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิด Covid-19 รวมถึงภาระหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง และสินเชื่อครัวเรือนที่หดตัวต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยกดดันให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ ขณะที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญการแข่งขันสูงด้านราคาจากสินค้าจีนนำเข้า และมีอำนาจการขึ้นราคาสินค้าต่ำในภาวะอุปสงค์ยังอ่อนแรง ยิ่งกดดันอัตรากำไร การลงทุน และการจ้างงานในอนาคต ซึ่งจะเป็นวัฏจักรเชิงลบต่อเศรษฐกิจ
ด้านการส่งออก SCB EIC วิเคราะห์ว่า การส่งออกมีสัญญาณชะลอตัวลง หลังสหรัฐฯเก็บภาษีไทย 19% สะท้อนความจำเป็นของนโยบายประคองเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมยังขยายตัวได้ 5.8% แต่ชะลอลงมากจากเดือนก่อนหน้า
หมวดสินค้าที่ขยายตัวได้มาจากปัจจัยเฉพาะ ได้แก่ (1) การเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไม่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่ม และส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกขาขึ้นและกระแสการลงทุน AI ในโลก (2) การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปที่เร่งตัวตามราคาทองคำ หากไม่นับปัจจัยเฉพาะนี้ ตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคม หดตัวราว -2% สะท้อนผลมาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มกดดันการส่งออกไทยชัดเจน
“มองไปข้างหน้า SCB EIC คาดมูลค่าส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องไปปี 2569 เสี่ยงหดตัวสูง ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ถึงครึ่งแรกของปีหน้า”