
เศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปี 2568 กำลังส่งสัญญาณบวกชัดเจนกว่าที่ตลาดประเมินไว้ในช่วงต้นปี โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กลับมาเป็นตัวแปรหลักในการกำหนดทิศทางสินทรัพย์เสี่ยง หลังตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งเกินคาดอย่างมีนัยสำคัญ ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เคยเป็นธีมหลักของตลาดโลกตลอดหลายไตรมาสที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ภาพเศรษฐกิจที่ดูสดใสในฝั่งสหรัฐฯ กลับสร้างแรงกดดันใหม่ต่อเศรษฐกิจประเทศอื่น รวมถึงไทย โดยเฉพาะผ่านกลไกอัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน และกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในประเทศอย่างการแข็งค่าของเงินบาทจากธุรกรรมทองคำ และบรรยากาศการเมืองที่เริ่มเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ก็ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนในช่วงถัดไป
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่า บรรยากาศการลงทุนนี้ กำลังเปิดพื้นที่ให้หุ้นบางกลุ่มโดดเด่นขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่หุ้นพลังงานและโรงไฟฟ้าอย่าง PTTEP, GULF, BGRIM และ GPSC ซึ่งได้อานิสงส์จากเงินบาทแข็งและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไปจนถึงหุ้นปันผลสูงอย่าง ICHI, LH, AP และ MAJOR ที่ถูกมองว่าเหมาะกับการสร้างกระแสเงินสดในช่วงตลาดผันผวน ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่มองออกนอกประเทศยังเริ่มจับตาหุ้นต่างประเทศอย่าง ZIJIN80 และ 1880 HK ที่เชื่อมโยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจจีนและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลก
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า ตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 ปี 2568 ขยายตัวถึง 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 3.3% อย่างชัดเจน และถือเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ภาพดังกล่าวสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายมิติ ทั้งการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ตลาดแรงงานที่ยังตึงตัว และภาคการส่งออกที่ได้อานิสงส์จากอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ตัวเลขดังกล่าวช่วยลดความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ไม่เพียงในสหรัฐฯ แต่รวมถึงประเทศคู่ค้าหลักและเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจที่เติบโตแรงเกินคาดกลับทำให้ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มเข้มงวดนานกว่าที่ตลาดเคยประเมิน โดยฝ่ายวิจัยมองว่า FED อาจเลื่อนจังหวะการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายออกไปเป็นช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 แทนการเริ่มผ่อนคลายในช่วงต้นปี ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศตลาดเกิดใหม่ยังอยู่ในระดับสูง และกดดันกระแสเงินทุนให้ผันผวนต่อไป
ในอีกด้านหนึ่ง บทวิเคราะห์ยังเชื่อมโยงไปถึงธีมการลงทุนระยะยาวด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีควอนตัม (Quantum Technology) ซึ่งกำลังถูกยกระดับเป็นโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ของหลายประเทศ คาดว่าหลังปี 2030 มูลค่าตลาดจะเติบโตในอัตราเร่ง และอาจแตะระดับราว 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2040 โดยจีนได้บรรจุเทคโนโลยีควอนตัมไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 (ปี 2026–2030) อย่างเป็นทางการแล้ว สะท้อนการแข่งขันด้านเทคโนโลยีขั้นสูงที่อาจกลายเป็นตัวกำหนดความได้เปรียบทางเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มให้ความสนใจกองทุนและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีมนี้มากขึ้น
สำหรับประเทศไทย ประเด็นที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดที่สุดในระยะสั้นคือทิศทางค่าเงินบาท ซึ่งจากข้อมูลในปี 2568 พบว่ามีความสัมพันธ์กับราคาทองคำสูงถึงประมาณ 65% สะท้อนบทบาทของธุรกรรมทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และการเก็งกำไรระยะสั้น ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้เงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงกว่าปัจจัยพื้นฐานด้านการค้าและการท่องเที่ยว
ล่าสุด สามหน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงาน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมมาตรการกำกับดูแลธุรกรรมทองคำในหลายมิติ ตั้งแต่การกำหนดให้ผู้ค้าทองคำออนไลน์ส่งข้อมูลธุรกรรมแก่กรมสรรพากร การพิจารณาจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการซื้อขายทองคำออนไลน์ ไปจนถึงการที่ ธปท. เตรียมกำหนดเพดานมูลค่าธุรกรรมทองคำ ซึ่งคาดว่ามาตรการทั้งหมดจะมีความชัดเจนและเริ่มบังคับใช้ได้ภายในช่วงกลางเดือนมกราคม 2569 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดแรงเก็งกำไร ชะลอการแข็งค่าของเงินบาท และบรรเทาผลกระทบต่อภาคส่งออกและเศรษฐกิจจริง
ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อมุมมองเศรษฐกิจในปีหน้า จากผลโพล Popular Vote หลังการดีเบตนโยบายเศรษฐกิจครั้งแรก ซึ่งชี้ว่าพรรคก้าวไกลมีคะแนนนำเป็นอันดับหนึ่งที่ 44.7% ตามด้วยพรรคเพื่อไทยที่ 22.8% โดยนโยบายเศรษฐกิจหลักที่ทุกพรรคให้ความสำคัญยังคงเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและมาตรการแจกเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภค ซึ่งอาจส่งผลต่อภาระการคลัง เสถียรภาพทางการเงิน และกรอบนโยบายเศรษฐกิจในระยะกลาง
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยของเอเซีย พลัส แนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น โดยเน้นการเก็งกำไรในหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินบาทแข็งค่า ควบคู่กับการถือหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งและหุ้นปันผลสูงเพื่อสร้างสมดุลพอร์ต หุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งและโครงสร้างรายได้มั่นคง อาทิ PTTEP ในกลุ่มพลังงาน รวมถึงหุ้นโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานอย่าง GULF, BGRIM และ GPSC ขณะที่หุ้นปันผลสูงอย่าง ICHI, LH, AP และ MAJOR ถูกมองว่าเหมาะสำหรับการสร้างกระแสเงินสดท่ามกลางความผันผวนของตลาด
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังชี้ว่าการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศยังคงมีความจำเป็น โดยเฉพาะหุ้นและสินทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับวัฏจักรสินค้าโภคภัณฑ์และการเติบโตของเศรษฐกิจจีน เช่น หุ้น ZIJIN80 และ 1880 HK ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะกลางถึงยาว ภายใต้บริบทที่ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนจากทิศทางตลาดโลกและกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสุทธิกว่า 7.3 พันล้านบาทในช่วง 15 วันที่ผ่านมา