Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เปิดพอร์ตพันล้าน ‘ชาญวีรกูล’ อาณาจักรทุนในมือบ้านนายกฯ อนุทิน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เปิดพอร์ตพันล้าน ‘ชาญวีรกูล’ อาณาจักรทุนในมือบ้านนายกฯ อนุทิน

8 ก.ย. 68
15:54 น.
แชร์

นอกจากบทบาททางการเมืองที่กำลังจะพาเขาก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยแล้ว นายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือที่คนทั่วไปคุ้นกันในชื่อ “เสี่ยหนู” ยังมีอีกหนึ่งบทบาทสำคัญในฐานะนักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในวงการ เขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจแปรรูปและผลิตโครงสร้างเหล็กในเครือบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชาญวีรกูล อาณาจักรธุรกิจรับเหมารายใหญ่ที่มีประสบการณ์ยาวนานในการคว้างานโครงการก่อสร้างระดับเมกะโปรเจกต์ของรัฐ

เมื่อมองในเชิงเศรษฐกิจ ตระกูลชาญวีรกูลจึงไม่ใช่เพียงครอบครัวนักการเมือง แต่ยังเป็นกลุ่มทุนที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในตลาดไทย ด้วยเครือข่ายการลงทุนที่แผ่ขยายไปยังบริษัทหลากหลาย ทั้งภายในและนอกสายธุรกิจของครอบครัว การสอดประสานระหว่าง “ทุน” และ “การเมือง” ทำให้ชื่อของชาญวีรกูลถูกจับตามองในฐานะตระกูลที่มีอิทธิพลครอบคลุมทั้งสองสนาม

วันนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านไปสำรวจเชิงลึกพอร์ตหุ้นของครอบครัวชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยกัน ว่าใครถือหุ้นที่ไหนบ้าง? และมีมูลค่ามากน้อยเพียงใด?

เปิดคลังหุ้นพันล้านตระกูล ‘ชาญวีรกูล’ 

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ Creden Data ระบุว่า บุคคลในตระกูลชาญวีรกูลมีพอร์ตการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะในรูปแบบบริษัทพัฒนาโครงการหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันยังมีการกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงาน รวมถึงธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายพันธมิตรทางการเมือง โดยเฉพาะตระกูลอิสรภักดีและพรรธนประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงทั้งความหลากหลายและการสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับอิทธิพลทางการเมือง

  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย

แม้ในฐานะนักการเมือง นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะไม่ได้ถือครองหุ้นโดยตรง แต่ข้อมูลเปิดเผยว่า ได้โอนหุ้นเพื่อการจัดการทรัพย์สินไปยังบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคินภัทร โดยเป็นการโอนหุ้นของบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI จำนวน 178,306,142 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9.84% ของทั้งหมด ส่งผลให้นายอนุทินยังคงมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท

หากอ้างอิงราคาปิดตลาดภาคเช้า ณ วันที่ 8 กันยายน 2568 ที่ 4.02 บาทต่อหุ้น มูลค่าหุ้นในพอร์ตดังกล่าวอยู่ที่ราว 716.8 ล้านบาท 

  • นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดาของนายอนุทิน ประธานกรรมการบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน)

พอร์ตการลงทุนของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล มีลักษณะกระจายตัว ทั้งในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ไปจนถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างกระแสรายได้ระยะยาว โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI: ถือครอง 64,589,765 หุ้น หรือ 3.56% ของทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 260 ล้านบาท (ราคาปิดตลาดช่วงเช้า 8 ก.ย. 2568 ที่ 4.02 บาทต่อหุ้น) อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 7 ของบริษัท 
  2. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ HPF (เหมราชอินดัสเตรียล): ถือครอง 11,709,833 หน่วย หรือ 2.49% ของทั้งหมด มูลค่า 57 ล้านบาท (ราคาที่ 4.90 บาทต่อหน่วย) ครองสถานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 10
  3. กองทรัสต์เพื่อการลงทุน MII (เอ็มเอฟซี อินดัสเตรียล อินเวสเมนท์): ถือครอง 5,671,336 หน่วย หรือ 3.30% ของทั้งหมด มูลค่า 26.5 ล้านบาท (ราคาที่ 4.68 บาทต่อหน่วย) อยู่ในลำดับผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4
  4. กองทุนรวม MNIT (เอ็มเอฟซี-นิชดาธานี): ถือครอง 900,000 หน่วย หรือ 0.65% ของทั้งหมด มูลค่า 1.73 ล้านบาท (ราคาที่ 1.93 บาทต่อหน่วย) อยู่ในลำดับผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 27
  5. กองทุนรวม M-STOR (เอ็มเอฟซี-สแตรทิจิกสโตเรจฟันด์): ถือครอง 410,000 หน่วย หรือ 0.67% ของทั้งหมด มูลค่า 2.99 ล้านบาท (ราคาที่ 7.30 บาทต่อหน่วย) อยู่ในลำดับผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 27

โดยรวม พอร์ตการลงทุนของนายชวรัตน์มีมูลค่าประมาณ 348.22 ล้านบาท (อ้างอิงราคาปิด ณ วันที่ 6 ก.ย. 2568) สะท้อนถึงการจัดวางโครงสร้างสินทรัพย์ที่สมดุลระหว่าง “หุ้นธุรกิจครอบครัว” ซึ่งมีนัยต่ออิทธิพลเชิงอุตสาหกรรม และ “กองทุนอสังหาริมทรัพย์” ที่ช่วยสร้างรายได้ประจำและกระจายความเสี่ยงในระยะยาว

  • นายมาศถวิน ชาญวีรกูล น้องชายของนายอนุทิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน)

ในส่วนของนายมาศถวิน ชาญวีรกูล น้องชายของนายกรัฐมนตรี พอร์ตการลงทุนเน้นไปที่บริษัทในเครือครอบครัว โดยถือครองหุ้นบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON จำนวน 25,457,142 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.68% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด ส่งผลให้มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 11 ของบริษัท

เมื่ออ้างอิงราคาปิดตลาดช่วงเช้า ณ วันที่ 8 กันยายน 2568 ที่ 8.65 บาทต่อหุ้น มูลค่าการลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ราว 220 ล้านบาท 

  • นางอาทิตยา ชาญวีรกูล น้องสะใภ้ของนายอนุทิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการ บริษัท เอสทีพร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด (STP&L)

ด้านนางอาทิตยา ชาญวีรกูล พอร์ตการลงทุนปรากฏการถือครองหุ้นบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV จำนวน 29,966,300 หุ้น แม้ว่าหุ้นดังกล่าวถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขายชั่วคราว (SP) แต่หากประเมินตามราคาล่าสุดที่ 0.03 บาทต่อหุ้น จะมีมูลค่าอยู่ที่เพียง 898,989 บาท

  • นายเศรณี ชาญวีรกูล บุตรชายของนาย อนุทิน

พอร์ตการลงทุนของนายเศรณี ชาญวีรกูล มีความหลากหลายทั้งในตลาดทุนและธุรกิจครอบครัว โดยสะท้อนแนวทางการลงทุนแบบ “กระจายความเสี่ยง” ไปในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อาหารเสริม เสื้อผ้า กีฬา ไปจนถึงบริษัทโฮลดิ้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD: ถือครอง 5,048,047 หุ้น หรือ 1.12% ของทั้งหมด มูลค่า 9.9 ล้านบาท (ราคาปิดช่วงเช้า 8 ก.ย. 2568 ที่ 1.98 บาทต่อหุ้น) อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 10 ของบริษัท บริษัทดังกล่าวเป็นเจ้าของและบริหารโดยตระกูลอิสรภักดีและพรรธนประเทศซึ่งถือเป็นพันธมิตรทางการเมืองของนายอนุทิน 
  2. บริษัท อิควิตี้ พลัส จำกัด: ถือครอง 349,999 หุ้น หรือ 50.00% ของทั้งหมด มูลค่าหุ้น 182.4 ล้านบาท อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท ดำเนินธุรกิจจัดการหลักทรัพย์การลงทุนและกองทุน
  3. บริษัท เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ จำกัด: ถือครอง 49,999 หุ้น หรือ 50.00% ของทั้งหมด มูลค่าหุ้น 167.0 ล้านบาท อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท ดำเนินธุรกิจจัดการหลักทรัพย์การลงทุนและกองทุน
  4. บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำกัด: ถือครอง 20,700 หุ้น หรือ 0.86% ของทั้งหมด มูลค่า 651,341 บาท  อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 10 ของบริษัท บริษัทมีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการสโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นแบรนด์เชิงวัฒนธรรมและกีฬาที่มีอิทธิพลสูงในภาคอีสาน 
  5. บริษัท แมทเทอร์ 365 จำกัด: ถือครอง 9,000 หุ้น หรือ 45.00% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 มูลค่า 130,916 บาท (กิจการค้าปลีกเสื้อผ้า ปัจจุบันยังดำเนินกิจการ) แม้มูลค่าติดลบ แต่แสดงถึงการลงทุนในธุรกิจเชิงไลฟ์สไตล์
  6. บริษัท วัน พาวเวอร์ จำกัด: ถือครอง 229,500 หุ้น หรือ 25.50% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 มูลค่า 32.4 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ในสถานะ “เลิกสภาพ”

โดยรวม หากไม่นับกิจการที่มูลค่าติดลบหรือเลิกสภาพ พอร์ตของนายเศรณีมีมูลค่าประมาณ 392.35 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ในตระกูลชาญวีรกูล แต่ได้ขยับบทบาทจาก “ผู้ถือหุ้นเชิงสัญลักษณ์” มาสู่การถือหุ้นในสัดส่วนใหญ่ในธุรกิจเอกชนที่สามารถกำหนดทิศทางกิจการได้โดยตรง ขณะเดียวกันยังลงทุนในธุรกิจที่มีมูลค่าเชิงภาพลักษณ์สูงอย่างสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

  • นัยน์ภัค ชาญวีรกูล บุตรสาวนายอนุทิน

พอร์ตการลงทุนของนางสาวนัยน์ภัคสะท้อนการกระจายตัวไปในหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีทั้งสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและกิจการที่มีผลขาดทุนติดลบ ดังนี้

  1. บริษัท อิควิตี้ พลัส จำกัด: ถือครอง 349,999 หุ้น คิดเป็น 50.00% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 มูลค่า 182.4 ล้านบาท กิจการทำธุรกิจด้านการจัดการหลักทรัพย์และการลงทุน
  2. บริษัท เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ จำกัด: ถือครอง 49,999 หุ้น คิดเป็น 50.00% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 มูลค่า 167.0 ล้านบาท ลักษณะธุรกิจคล้ายกับอิควิตี พลัส เน้นการลงทุนด้านหลักทรัพย์
  3. บริษัท เจริญคีรี จำกัด: ถือครอง 315,010 หุ้น คิดเป็น 41.90% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 มูลค่า 31.5 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการเกี่ยวกับสนามบิน
  4. บริษัท สยามกลอรี่ จำกัด: ถือครอง 45,000 หุ้น หรือ 91.44% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 มูลค่า 4.35 ล้านบาท ทำธุรกิจซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่เพื่อที่อยู่อาศัย
  5. บริษัท ศรัทธาธรรม คอนสตรัคชั่น จำกัด (CHINO-THAI CONSTRUCTION SERVICE CO., LTD.): ถือครอง 1 หุ้น (0%) มูลค่า -1,059 บาท ธุรกิจขายเครื่องจักรและอะไหล่
  6. บริษัท ซิโน ไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด: ถือครอง 37,500 หุ้น หรือ 50.00% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 มูลค่า -2.9 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจอื่น
  7. บริษัท เพอร์เพชวล พรอสเพอร์ริตี้ จำกัด: ถือครอง 9,997 หุ้น หรือ 99.97% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 มูลค่า -44.3 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจเช่าและบริหารอสังหาริมทรัพย์
  8. บริษัท วัน พาวเวอร์ จำกัด: ถือครอง 229,500 หุ้น หรือ 25.50% ของทั้งหมด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 มูลค่า 32.4 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีสถานะ “แปรสภาพ”

โดยรวม นัยน์ภัค ชาญวีรกูล มีพอร์ตการลงทุนรวมที่มีมูลค่าบวกกว่า 417.65 ล้านบาท (หากไม่รวมกิจการที่มูลค่าเป็นลบ) โดยจุดแข็งอยู่ที่การถือหุ้นใหญ่ในบริษัทด้านการลงทุน (Equity Plus และ Best Quality Skills) รวมถึงการถือหุ้นในกิจการอสังหาริมทรัพย์และสนามบิน 

ลูกชาย-ลูกสาวอนุทินโผล่ถือหุ้นผ่านบริษัทโฮลดิ้ง

นอกจากนี้ แม้ชื่อของตระกูล “ชาญวีรกูล” จะไม่ปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงในเอกสาร แต่ความจริงแล้ว พวกเขายังคงกุมบังเหียนอำนาจใน STECON อย่างเหนียวแน่น ผ่านโครงสร้างการถือหุ้นที่ถูกออกแบบอย่างแยบยล โดยมี บริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ จำกัด ทำหน้าที่เป็น “บริษัทโฮลดิ้ง” ศูนย์รวมการลงทุนที่ครอบคลุมกิจการสำคัญหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น

  • สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน): ถือครอง 293,634,788 หุ้น มูลค่า 2,539,940,916 บาท (อ้างอิงจากราคาปิดภาคเช้าวันที่ 8 กันยายน 2568)
  • ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน): ข้อมูลจาก Creden Data ระบุว่า ถือครอง 261,478,188 หุ้น หรือ 17.14% มูลค่า 2,825,179,377 บาท
  • ดีโอดีไบโอเทค จำกัด (มหาชน): ถือครอง 7.02% หรือ 31,616,005 หุ้น มูลค่า 62,599,689 บาท อ้างอิงจากราคาปิดภาคเช้าวันที่ 8 กันยายน 2568)

หัวใจของกลยุทธ์นี้อยู่ที่การวางทายาทเข้าสู่โครงสร้างอย่างเป็นระบบ บริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ มี เศรณี และ นัยน์ภัค ชาญวีรกูล บุตรชายและบุตรสาวของอนุทิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คนละ 26,805,027 หุ้น รวม 53,610,00 หุ้น มูลค่ารวม 2,106,367,619 บาท สะท้อนถึงการวางหมากล่วงหน้า ไม่เพียงเพื่อรักษาทรัพย์สินมหาศาล แต่เพื่อรับประกันว่าพลังธุรกิจและสายใยอำนาจของครอบครัวจะไม่สะดุดลงแม้รุ่นเปลี่ยน

กลยุทธ์ “บริษัทโฮลดิ้ง” จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางธุรกิจธรรมดา แต่คือเสาหลักของการสร้าง “อาณาจักรที่ยั่งยืน” ตระกูลนักธุรกิจชั้นนำทั่วโลกต่างเลือกใช้ เพราะมันสามารถรักษาความมั่งคั่งให้ต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น ขณะเดียวกันยังช่วยจำกัดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแยกภาระหนี้สินออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้หากบริษัทหนึ่งสะดุด อีกหลายบริษัทในเครือยังคงยืนได้อย่างมั่นคง แม้จะต้องแลกกับต้นทุนการจัดตั้งและการบริหารที่ซับซ้อน แต่ผลตอบแทนคือ “เกราะป้องกัน” และ “เครื่องจักรสร้างความมั่งคั่ง” ที่ทรงพลังที่สุดของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่

สำหรับตระกูลชาญวีรกูล อำนาจการควบคุมทางเศรษฐกิจจึงถูกรวมศูนย์ไว้ใน ซี.ที. เวนเจอร์ ซึ่งอยู่ในมือทายาทโดยตรง ภาพนี้ไม่เพียงตอกย้ำความมั่งคั่ง แต่ยังเผยให้เห็นการผสมผสานระหว่าง “การเมือง” และ “ธุรกิจ” ที่คำนวณมาแล้วอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความต่อเนื่องของทั้งอำนาจและความมั่งคั่งที่ยากจะสั่นคลอน


แชร์
เปิดพอร์ตพันล้าน ‘ชาญวีรกูล’ อาณาจักรทุนในมือบ้านนายกฯ อนุทิน