นอกจากบทบาททางการเมืองที่กำลังจะพาเขาก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยแล้ว นายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือที่คนทั่วไปคุ้นกันในชื่อ “เสี่ยหนู” ยังมีอีกหนึ่งบทบาทสำคัญในฐานะนักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในวงการ เขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจแปรรูปและผลิตโครงสร้างเหล็กในเครือบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชาญวีรกูล อาณาจักรธุรกิจรับเหมารายใหญ่ที่มีประสบการณ์ยาวนานในการคว้างานโครงการก่อสร้างระดับเมกะโปรเจกต์ของรัฐ
เมื่อมองในเชิงเศรษฐกิจ ตระกูลชาญวีรกูลจึงไม่ใช่เพียงครอบครัวนักการเมือง แต่ยังเป็นกลุ่มทุนที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในตลาดไทย ด้วยเครือข่ายการลงทุนที่แผ่ขยายไปยังบริษัทหลากหลาย ทั้งภายในและนอกสายธุรกิจของครอบครัว การสอดประสานระหว่าง “ทุน” และ “การเมือง” ทำให้ชื่อของชาญวีรกูลถูกจับตามองในฐานะตระกูลที่มีอิทธิพลครอบคลุมทั้งสองสนาม
วันนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านไปสำรวจเชิงลึกพอร์ตหุ้นของครอบครัวชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยกัน ว่าใครถือหุ้นที่ไหนบ้าง? และมีมูลค่ามากน้อยเพียงใด?
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ Creden Data ระบุว่า บุคคลในตระกูลชาญวีรกูลมีพอร์ตการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะในรูปแบบบริษัทพัฒนาโครงการหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันยังมีการกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงาน รวมถึงธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายพันธมิตรทางการเมือง โดยเฉพาะตระกูลอิสรภักดีและพรรธนประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงทั้งความหลากหลายและการสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับอิทธิพลทางการเมือง
แม้ในฐานะนักการเมือง นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะไม่ได้ถือครองหุ้นโดยตรง แต่ข้อมูลเปิดเผยว่า ได้โอนหุ้นเพื่อการจัดการทรัพย์สินไปยังบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคินภัทร โดยเป็นการโอนหุ้นของบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI จำนวน 178,306,142 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9.84% ของทั้งหมด ส่งผลให้นายอนุทินยังคงมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท
หากอ้างอิงราคาปิดตลาดภาคเช้า ณ วันที่ 8 กันยายน 2568 ที่ 4.02 บาทต่อหุ้น มูลค่าหุ้นในพอร์ตดังกล่าวอยู่ที่ราว 716.8 ล้านบาท
พอร์ตการลงทุนของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล มีลักษณะกระจายตัว ทั้งในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ไปจนถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างกระแสรายได้ระยะยาว โดยมีรายละเอียดดังนี้
โดยรวม พอร์ตการลงทุนของนายชวรัตน์มีมูลค่าประมาณ 348.22 ล้านบาท (อ้างอิงราคาปิด ณ วันที่ 6 ก.ย. 2568) สะท้อนถึงการจัดวางโครงสร้างสินทรัพย์ที่สมดุลระหว่าง “หุ้นธุรกิจครอบครัว” ซึ่งมีนัยต่ออิทธิพลเชิงอุตสาหกรรม และ “กองทุนอสังหาริมทรัพย์” ที่ช่วยสร้างรายได้ประจำและกระจายความเสี่ยงในระยะยาว
ในส่วนของนายมาศถวิน ชาญวีรกูล น้องชายของนายกรัฐมนตรี พอร์ตการลงทุนเน้นไปที่บริษัทในเครือครอบครัว โดยถือครองหุ้นบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON จำนวน 25,457,142 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.68% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด ส่งผลให้มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 11 ของบริษัท
เมื่ออ้างอิงราคาปิดตลาดช่วงเช้า ณ วันที่ 8 กันยายน 2568 ที่ 8.65 บาทต่อหุ้น มูลค่าการลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ราว 220 ล้านบาท
ด้านนางอาทิตยา ชาญวีรกูล พอร์ตการลงทุนปรากฏการถือครองหุ้นบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV จำนวน 29,966,300 หุ้น แม้ว่าหุ้นดังกล่าวถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขายชั่วคราว (SP) แต่หากประเมินตามราคาล่าสุดที่ 0.03 บาทต่อหุ้น จะมีมูลค่าอยู่ที่เพียง 898,989 บาท
พอร์ตการลงทุนของนายเศรณี ชาญวีรกูล มีความหลากหลายทั้งในตลาดทุนและธุรกิจครอบครัว โดยสะท้อนแนวทางการลงทุนแบบ “กระจายความเสี่ยง” ไปในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อาหารเสริม เสื้อผ้า กีฬา ไปจนถึงบริษัทโฮลดิ้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้
โดยรวม หากไม่นับกิจการที่มูลค่าติดลบหรือเลิกสภาพ พอร์ตของนายเศรณีมีมูลค่าประมาณ 392.35 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ในตระกูลชาญวีรกูล แต่ได้ขยับบทบาทจาก “ผู้ถือหุ้นเชิงสัญลักษณ์” มาสู่การถือหุ้นในสัดส่วนใหญ่ในธุรกิจเอกชนที่สามารถกำหนดทิศทางกิจการได้โดยตรง ขณะเดียวกันยังลงทุนในธุรกิจที่มีมูลค่าเชิงภาพลักษณ์สูงอย่างสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
พอร์ตการลงทุนของนางสาวนัยน์ภัคสะท้อนการกระจายตัวไปในหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีทั้งสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและกิจการที่มีผลขาดทุนติดลบ ดังนี้
โดยรวม นัยน์ภัค ชาญวีรกูล มีพอร์ตการลงทุนรวมที่มีมูลค่าบวกกว่า 417.65 ล้านบาท (หากไม่รวมกิจการที่มูลค่าเป็นลบ) โดยจุดแข็งอยู่ที่การถือหุ้นใหญ่ในบริษัทด้านการลงทุน (Equity Plus และ Best Quality Skills) รวมถึงการถือหุ้นในกิจการอสังหาริมทรัพย์และสนามบิน
นอกจากนี้ แม้ชื่อของตระกูล “ชาญวีรกูล” จะไม่ปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงในเอกสาร แต่ความจริงแล้ว พวกเขายังคงกุมบังเหียนอำนาจใน STECON อย่างเหนียวแน่น ผ่านโครงสร้างการถือหุ้นที่ถูกออกแบบอย่างแยบยล โดยมี บริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ จำกัด ทำหน้าที่เป็น “บริษัทโฮลดิ้ง” ศูนย์รวมการลงทุนที่ครอบคลุมกิจการสำคัญหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
หัวใจของกลยุทธ์นี้อยู่ที่การวางทายาทเข้าสู่โครงสร้างอย่างเป็นระบบ บริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ มี เศรณี และ นัยน์ภัค ชาญวีรกูล บุตรชายและบุตรสาวของอนุทิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คนละ 26,805,027 หุ้น รวม 53,610,00 หุ้น มูลค่ารวม 2,106,367,619 บาท สะท้อนถึงการวางหมากล่วงหน้า ไม่เพียงเพื่อรักษาทรัพย์สินมหาศาล แต่เพื่อรับประกันว่าพลังธุรกิจและสายใยอำนาจของครอบครัวจะไม่สะดุดลงแม้รุ่นเปลี่ยน
กลยุทธ์ “บริษัทโฮลดิ้ง” จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางธุรกิจธรรมดา แต่คือเสาหลักของการสร้าง “อาณาจักรที่ยั่งยืน” ตระกูลนักธุรกิจชั้นนำทั่วโลกต่างเลือกใช้ เพราะมันสามารถรักษาความมั่งคั่งให้ต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น ขณะเดียวกันยังช่วยจำกัดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแยกภาระหนี้สินออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้หากบริษัทหนึ่งสะดุด อีกหลายบริษัทในเครือยังคงยืนได้อย่างมั่นคง แม้จะต้องแลกกับต้นทุนการจัดตั้งและการบริหารที่ซับซ้อน แต่ผลตอบแทนคือ “เกราะป้องกัน” และ “เครื่องจักรสร้างความมั่งคั่ง” ที่ทรงพลังที่สุดของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
สำหรับตระกูลชาญวีรกูล อำนาจการควบคุมทางเศรษฐกิจจึงถูกรวมศูนย์ไว้ใน ซี.ที. เวนเจอร์ ซึ่งอยู่ในมือทายาทโดยตรง ภาพนี้ไม่เพียงตอกย้ำความมั่งคั่ง แต่ยังเผยให้เห็นการผสมผสานระหว่าง “การเมือง” และ “ธุรกิจ” ที่คำนวณมาแล้วอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความต่อเนื่องของทั้งอำนาจและความมั่งคั่งที่ยากจะสั่นคลอน