Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กัมพูชาขึ้นเบอร์2ตลาดทองไทย 11เดือนขายแล้ว8.3หมื่นล้าน ดีมานด์มาจากไหน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

กัมพูชาขึ้นเบอร์2ตลาดทองไทย 11เดือนขายแล้ว8.3หมื่นล้าน ดีมานด์มาจากไหน

25 ธ.ค. 68
15:53 น.
แชร์

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 กัมพูชาเป็นตลาดปลายทางที่สำคัญของทองไทย โดยนำเข้าทองคำจากไทยมากเป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่ารวมกว่า 8.3 หมื่นล้านบาท ทิ้งห่างศูนย์กลางการค้าทองระดับภูมิภาคอย่างสิงคโปร์และฮ่องกงอย่างมีนัยสำคัญ ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะเงินบาทแข็งค่าอย่างรุนแรง และการส่งออกทองคำรวมของไทยที่พุ่งแตะเกือบ 4 แสนล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้กัมพูชากลายเป็นตัวแปรที่ตลาดและหน่วยงานกำกับต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

คำถามสำคัญคือ ดีมานด์ทองคำปริมาณมหาศาลนี้มาจากที่ใด เพราะเมื่อพิจารณาจากโครงสร้างเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งยังมีรายได้ต่อหัวอยู่ในระดับต่ำ การบริโภคทองคำเพื่อการสะสมหรืออุตสาหกรรมภายในประเทศแทบไม่สอดคล้องกับตัวเลขการนำเข้าที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด 

ช่องว่างดังกล่าวทำให้บทบาทของกัมพูชาในกระแสการค้าทองคำครั้งนี้ อาจไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ซื้อปลายทาง” ตามความหมายดั้งเดิม แต่กำลังสะท้อนกลไกการไหลเวียนของทองคำในภูมิภาคที่ซับซ้อนกว่านั้น และเชื่อมโยงกับปัจจัยด้านการค้า การเก็งกำไร หรือแม้แต่การฟอกเงินของธุรกิจผิดกฎหมายในภูมิภาค

ทองไทย 11 เดือนทะลุ 3.9 แสนล้าน สวิตฯครองเบอร์หนึ่ง กัมพูชาติดท็อป 2

ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ระบุว่า ในระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายนปี 2568 ไทยส่งออกสินค้าทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป เป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 391,682.55 ล้านบาท หรือ 11,900.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดส่งออก 5 อันดับแรกของไทยสำหรับสินค้าทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป ในปี 2568 โดยอ้างอิงข้อมูลช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน และเปรียบเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในปี 2566 และ 2567 ได้แก่

  • สวิตเซอร์แลนด์

ในปี 2568 สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นตลาดปลายทางที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดของไทยสำหรับสินค้าทองที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 192,547.47 ล้านบาท หรือ 5,849.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 104,496.62 ล้านบาท หรือ 3,015.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสูงกว่าระดับทั้งปีของปี 2566 และ 2567 ซึ่งมีมูลค่าใกล้เคียงกันราว 3,020-3,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • กัมพูชา

กัมพูชาปรากฏเป็นตลาดสำคัญอีกแห่ง โดยในช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2568 ไทยส่งออกทองไปกัมพูชา 82,969.11 ล้านบาท หรือ 2,513.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 99,653.39  ล้านบาท หรือ 2,856.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อพิจารณาย้อนหลังจะเห็นว่าในปี 2567 ทั้งปี มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 105,982.05 บาท หรือ 3,040.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปี 2566 อยู่ในระดับ 12,562.19 ล้านบาท หรือ 361.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปี 2566-2567

  • สิงคโปร์

สิงคโปร์ตามมาในอันดับสาม โดยมีมูลค่าการส่งออกทองจากไทยไปสิงคโปร์ในช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 49,251.88 ล้านบาท หรือ 1,490.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่ 55,150.91 ล้านบาท หรือ 1,600.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และต่ำกว่ามูลค่าทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 1,749.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปี 2566 ตัวเลขอยู่ที่ 1,570.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • สปป. ลาว

สำหรับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มูลค่าการส่งออกทองจากไทยไปสิงคโปร์ในช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 22,205.31 ล้านบาท หรือ 687.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 5,835.75 ล้านบาท หรือ 165.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสูงกว่าระดับทั้งปี 2567 ที่ 171.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2566 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 69.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

  •  ฮ่องกง

ฮ่องกงมีมูลค่าการส่งออกทองจากไทยไปสิงคโปร์ในช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2568 อยู่ที่  11,261.94 ล้านบาท หรือ 338.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่ 15,774.69 บาท หรือ 450.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และต่ำกว่าระดับทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 455.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีมูลค่า 621.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทองอาจไม่ได้ “ขาย” ให้คนกัมพูชา แต่ “ไหลผ่าน” กัมพูชา

หากพิจารณาผ่านกรอบอุปสงค์ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว การเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของการนำเข้าทองคำจากไทยของกัมพูชาในช่วงปี 2567-2568 แทบไม่สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากกัมพูชายังคงเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าทองคำที่ปรากฏในสถิติ โดยข้อมูลจากธนาคารโลกชี้ว่าในปี 2567 กัมพูชามี GDP ราว 4.635 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมี GDP ต่อหัวประมาณ 2,627.9 ดอลลาร์สหรัฐ 

เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกทองคำจากไทยไปยังกัมพูชาที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ “หลักหมื่นล้านบาท” หรือหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลาไม่กี่ปี ช่องว่างระหว่างกำลังซื้อเชิงโครงสร้างกับมูลค่าธุรกรรมจึงกว้างเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยการบริโภคจริงเพื่อการสะสมหรือทำเครื่องประดับของภาคครัวเรือนตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ช่องว่างนี้จึงกลายเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่า กัมพูชาอาจไม่ได้เป็นผู้ซื้อปลายทางตัวจริง แต่มีบทบาทในฐานะศูนย์กลางหรือทางผ่านของทองคำในภูมิภาคมากกว่า

ข้อมูลจากฝั่งไทยยิ่งตอกย้ำภาพดังกล่าว โดยสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในลักษณะ “กระโดดขั้น” มากกว่าการเติบโตตามวัฏจักรปกติ มูลค่าการส่งออกทองคำจากไทยไปกัมพูชาอยู่ที่ 8.6 พันล้านบาทในปี 2564 ก่อนจะพุ่งขึ้นเป็น 5.58 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จากนั้นลดลงมาอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาทในปี 2566 ก่อนจะกลับมาทะยานขึ้นอีกครั้งเป็นราว 1.06 แสนล้านบาทในปี 2567 และในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ตัวเลขดังกล่าวก็แตะระดับ 7.13 หมื่นล้านบาท แล้ว รูปแบบตัวเลขที่ผันผวนและไม่ต่อเนื่องเช่นนี้ มักเป็นลักษณะของการเปลี่ยนเส้นทางหรือเปลี่ยนรูปแบบของธุรกรรม มากกว่าการขยายตัวของดีมานด์ปลายทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป

มูลค่าการส่งออกทองคำจากไทยไปกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้สำนักข่าว Bloomberg ถึงขั้นประเมินว่า หากแนวโน้มในปี 2568 ยังดำเนินต่อไป กัมพูชามีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของทองคำจากไทย แข่งขันกับสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการถลุงทองของโลก และสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าระดับภูมิภาค

ดังนั้น หากพิจารณาในมิติของ “กลไกการค้า” คำอธิบายที่สอดคล้องกับข้อมูลมากที่สุดคือบทบาทของกัมพูชาในฐานะจุดผ่าน จุดพัก หรือคลังพักสินค้าทองคำในภูมิภาค มากกว่าการเป็นตลาดปลายทางโดยตรง เนื่องจากทองคำมีมูลค่าสูงต่อหน่วย ขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายและจัดเก็บได้ง่าย จึงเหมาะกับธุรกรรมแบบ transit หรือ re-export รวมถึงการพักสต๊อกเพื่อรอจังหวะส่งต่อไปยังประเทศอื่น

หนึ่งในปลายทางต้องสงสัยคือ เวียดนามที่ทองคำมีราคาสูงกว่าประเทศอื่นเนื่องจากการแทรกแซงตลาดของรัฐอย่างเข้มงวด ภายใต้กฤษฎีกา Decree 24/2012/ND-CP ที่ผูกขาดการผลิตทองคำแท่งไว้กับรัฐและกำหนดให้ทองคำแบรนด์ SJC เป็นแบรนด์เดียวที่ถูกกฎหมายในการซื้อขาย ส่งผลให้อุปทานในตลาดถูกจำกัด การที่ทองนอกเวียดนามถูกกว่าในประเทศนี้ทำให้ผู้ขายมีแรงจูงใจในการส่งทองเข้าเวียดนาม เพื่อเอากำไรส่วนต่าง

นอกจากนี้ ทองคำยังถูกนำไปใช้ในกระบวนการฟอกเงินได้ เพราะมีคุณสมบัติบางอย่างที่เอื้อต่อการปกปิดที่มาของเงิน โดยเฉพาะการเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงต่อหน่วย ขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายและเก็บรักษาได้ง่าย อีกทั้งสามารถซื้อขายหรือโอนเปลี่ยนมือได้โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตนผู้ถือครองอย่างชัดเจนในทุกขั้นตอน (ฺBearer Instrument) ต่างจากเงินในระบบธนาคารที่ทิ้งร่องรอยธุรกรรมไว้เสมอ เมื่อเงินสดที่มีที่มาไม่ชัดถูกแปลงเป็นทองคำ แล้วนำไปขายหรือแลกเปลี่ยนในอีกตลาดหนึ่ง เงินที่ได้กลับมาจึงดูเหมือนเป็นรายได้จากการค้าทองตามปกติ ทำให้การติดตามเส้นทางเงินทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศหรือพื้นที่ที่กฎระเบียบด้านการรายงานธุรกรรมทองคำยังไม่เข้มงวดเท่าระบบการเงินหลัก

ผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้ย้อนกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุในรายงานว่า การส่งออกทองคำเพื่อเก็งกำไรในปริมาณสูงสร้างความผันผวนให้กับค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเมื่อผู้ส่งออกทองคำได้รับเงินดอลลาร์และนำมาแลกเป็นเงินบาท จะก่อให้เกิดแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สะท้อนถึงผลิตภาพที่แท้จริงของภาคเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ส่งออกสินค้าอื่น เช่น ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต ต้องแบกรับต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทองคำเหล่านี้โดยตรง

ในช่วงที่ผ่านมา  ภาครัฐและธนาคารกลางไทยเองก็ยอมรับว่าธุรกรรมทองคำมีปริมาณ “สูงมาก” จนกระทบกับค่าเงินบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกำกับเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มเทรดทองออนไลน์ การกำหนดเพดานหรือการกำกับธุรกรรมขนาดใหญ่ ตลอดจนการตรวจสอบธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับทองคำอย่างเข้มงวดขึ้น

ด้าน Reuters ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคมของปีเดียวกับกระแสการตรวจสอบดังกล่าว ไทยส่งออกทองคำรวมมูลค่าราว 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีส่วนที่ถือว่า “ผิดปกติ” ไปยังกัมพูชาประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์ ภาพดังกล่าวสะท้อนว่าทองคำในช่วงเวลานั้นทำหน้าที่เป็นเสมือนท่อทางการเงินหรือกระแสทุนที่มีนัยสำคัญต่อค่าเงิน มากกว่าการค้าปลีกเพื่อการบริโภคตามปกติ

ด้วยเหตุนี้ คำอธิบายว่าทำไมประเทศที่มีกำลังซื้อไม่สูงอย่างกัมพูชาจึงนำเข้าทองคำจากไทยในปริมาณมหาศาล จึงสมเหตุสมผลมากขึ้นเมื่อมองผ่านเลนส์ของห่วงโซ่การค้า การเก็งกำไรเชิงกฎระเบียบ และความเสี่ยงด้านการเงิน มากกว่าการตีความว่าเป็นสัญญาณของการบริโภคทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของผู้บริโภคกัมพูชาในช่วงเวลาอันสั้น


แชร์
กัมพูชาขึ้นเบอร์2ตลาดทองไทย 11เดือนขายแล้ว8.3หมื่นล้าน ดีมานด์มาจากไหน