Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
21 ปีสึนามิ สำรวจบทบาทศาสนสถานยามภัยพิบัติ  เมื่อภัยไม่เลือกความเชื่อ
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

21 ปีสึนามิ สำรวจบทบาทศาสนสถานยามภัยพิบัติ เมื่อภัยไม่เลือกความเชื่อ

26 ธ.ค. 68
00:43 น.
แชร์

26 ธันวาคม 2547

สำนักสงฆ์เจริญกมลากับสึนามีปี 2547

วันนั้นป็นวันพระ ญาติโยมหลายสิบคนมารวมตัวกันในศาลาที่สำนักสงฆ์เจริญกมลา อาคาร ซึ่งอยู่ห่างจากชายหาดกมลาเพียงถนนสองเลนคั่น ผู้มีจิตศรัทธามาประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงเข้า หันหน้าให้พระ หันหลังให้ชายหาด จึงไม่ได้เห็นว่าหลังน้ำทะเลแห้งเหือดสุดลูกหูลูกตา มีคลื่นลูกยักษ์สีเข้มไล่หลังมาอย่างรวดเร็ว รุนแรง

ภาพสำนักสงฆ์เจริญกมลา 26 ธันวาคม 2547
ภาพสำนักสงฆ์เจริญกมลา 26 ธันวาคม 2547

“ญาติโยมหันหลัง ก็เลยไม่รู้เรื่องกันเลย มีทั้งหนีทัน หนีไม่ทัน พระที่เสียชีวิตก็มี” คุณฝน อัมพา ก่อสุข ชาวบ้านกมลาที่อยู่อาศัยข้างสำนักสงฆ์เจริญกมลามาตั้งแต่เกิดกล่าว ตอนนี้เธอยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ตำบลกมลา อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ตด้วย และเธอเป็นผู้เล่าเรื่องสำนักสงฆ์แห่งนี้ให้เราฟัง

ฝนเล่าว่า วัดกมลาถูกคลื่นยักษ์สาดซัด ปีนเกลียวขึ้นสูงถึงหลังคาภายในเวลาชั่วพริบตา น้ำจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งร่างผู้เสียชีวิตเอาไว้ที่วัด แต่ไม่เหลืออาคารไว้เลยสักหลัง พระสงฆ์ที่พำนักอยู่ในวัดเสียชีวิต 2 รูปจากทั้งหมด 4 รูป และบ้านเรือนรอบ ๆ สภาพความเสียหายเหมือนกันทุกหลังนั่นคือ “เหลือแต่ห้องน้ำ” 

ฝน อัมพา ก่อสุข
ฝน อัมพา ก่อสุข

เราไม่สามารถทราบได้ว่า พระรูปที่รอดชีวิตนั้นไปอาศัยอยู่ที่ใดหลังสึนามิจบลง แต่คุณฝนและครอบครัวขึ้นไปอาศัยบนโรงแรมอันดารา โรงแรมที่กำลังก่อสร้างบนเขาติดกับหาด ห่างไปราว 3.4 กิโลเมตร ซึ่งขณะนั้นมีเพียงโครงสร้าง

อยู่ได้ 3-4 คืนคุณฝนและครอบครัวก็ย้ายไปอยู่บ้านญาติที่บางเทา เพราะที่กมลาไม่มีศูนย์พักพิงชั่วคราว คนในกมลา หากบ้านถูกทำลายไปหมด ส่วนมากก็จะไปหาอาศัยกับญาติในพื้นที่อื่น แต่หากยังพอเหลือบ้านให้อาศัยได้ก็จะอยู่ที่บ้านเป็นพัก ๆ สลับไปกับการวิ่งขึ้นลงเขา เพื่อความปลอดภัยเมื่อหวั่นว่าจะเกิดสึนามิซ้ำ

“กมลามันเล็กค่ะ ไม่ใหญ่เหมือนป่าตอง ก็ไม่มีศูนย์พักพิงหรอก” คุณอี๊ดกล่าว

คุณอี๊ด ภิรัญญา นิลมงคล สูญเสียร้านอาหารที่ตั้งมา 15 ปีในวันเดียวกัน สำหรับเธอที่เป็นคริสตศาสนิกชน วันนั้นคือวันหลังวันคริสมาสต์ และร้านกำลังเตรียมอาหารมากมายไว้ฉลองวันเปิดของขวัญ เธอกล่าวว่า แม้สึนามิจะจบลง แต่ความหวาดผวาคลื่นยักษ์หลอกหลอนคนกมลาอยู่นานหลายเดือน ทำให้แม้มีบ้านอยู่ก็คอยรีบร้อนขึ้นเขาไปเป็นช่วง ๆ เพราะความตื่นกลัว

วัดในภูเก็ต 26 ธันวาคม 2547
วัดในภูเก็ต 26 ธันวาคม 2547

“นอนที่บ้านกันไม่ได้เลย เพราะกลัว บางคนเขาก็จะเตือนกันว่า ‘น้ำมา’ จะเตรียมตัวกันตลอดเวลาเลยค่ะ เดินบ้าง วิ่งบ้าง ขับรถบ้าง คอยหนีกันตลอด นอนไม่หลับเลยช่วง 3-4 เดือนแรก” คุณอี๊ดเล่าถึงความประหวั่นที่ทำให้ชีวิตช่วงนั้นไม่เป็นปกติ

คลื่นยักษ์สึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2547 มีสาเหตุมาจากแผ่นดินไหวขนาด 9.3 บริเวณเกาะสุมาตรา ส่งผลกระทบต่อจังหวัดประเทศไทย 6 จังหวัดด้านชายฝั่งทะเลอันดามัน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,000 คน ที่ภูเก็ตนั้น มีผู้เสียชีวิต 279 คน สูญหาย 627 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 1,111 คน ได้รับผลกระทบมากเป็นลำดับที่ 2 รองจากพังงา ซึ่งก็พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากเป็นอันดับต้น ๆ และถูกจัดเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงมาก 2 อันดับแรกโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภูเก็ตคือ ตำบลกมลา และป่าตองในอำเภอกระทู้ ซึ่งเป็น 2 พื้นที่ที่บทความครั้งนี้ให้ความสำคัญ

คนท้องถิ่นส่วนใหญ่ ทั้งในกมลาและป่าตองมักมีที่ดินบนเขาสูง ที่พวกเขาสามารถขึ้นไปอาศัยได้เมื่อตื่นกลัว แต่คนต่างถิ่น แรงงานจากต่างจังหวัด ต่างชาติ และนักท่องเที่ยวล่ะไปที่ใด?

ศาสนสถานในห้วงภัย กลายเป็นที่บำบัดทุกข์สำหรับคนต่างถิ่นและคนในท้องถิ่น

ที่ป่าตอง หนึ่งในสถานที่พักพิงหลังสึนามิเพิ่งจากไปคือ วัดสุวรรณคีรีวงก์ หรือวัดป่าตอง ศาสนสถานที่อยู่ห่างชายหาดป่าตองขึ้นไปราว 1.6 กิโลเมตร พระครูสุวรรณสุนทรวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวงก์เล่าว่า ในช่วงเวลานั้น วัดเป็นที่พังพิงให้กับคนต่างถิ่นอยู่หลายวัน

“วันแรกเขามาอยู่กัน 3-4 วัน เป็นพนักงานโรงแรม เขาขนกันมานอนในลานวัด ในศาลาก็มี อุโบสถเก่าก็มี เราก็เอาเสื่อไปให้เขาปูนอน”

พระครูสุวรรณสุนทรวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวงก์
พระครูสุวรรณสุนทรวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวงก์

พระครูฯ กล่าวว่า มีคนมาอาศัยนอนที่วัดกันราว 200 คน โดยเฉพาะ 2 วันหลังสึนามิ และมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้น แต่ 3-4 วันที่วัดเปิดรั้วรับผู้อพยพ ลักษณะก็คล้ายกับที่คุณอี๊ดเล่า นั่นคือมา ๆ ไป ๆ มาเมื่อความตื่นกลัวเข้าครอบครองใจ และไปเมื่อสถานการณ์ดูจะปกติ

วัดพุทธไม่ใช่สถานศาสนสถานรูปแบบเดียวที่เป็นที่พักพิงให้ผู้ประสบภัย เพราะคนท้องถิ่นจำนวนมากเป็นชาวมุสลิม ซึ่งก็ไปอาศัยพักพิงที่มัสยิดและสุเหร่า อย่างมัสยิดกมลาที่กมลา และมัสยิดนูรุลฮุดาที่ป่าตอง

มัสยิดกมลา
มัสยิดกมลา

เมื่อย้อนไปในวันเกิดเหตุ สำหรับชาวคริสต์ 26 ธันวาคมคือ วันหลังคริสมาสต์ สำหรับชาวพุทธคือวัน 15 ค่ำวันพระ แต่สำหรับชาวมุสลิม วันนั้นคือวันอาทิตย์ที่หลายคนส่งลูกหลานมาเรียนโรงเรียนศาสนา เวลาราว 10 โมงเช้าวันนั้นโกบ เจริญจิตต์ มุอัซซิน (ผู้ประกาศเสียงอาซาน) ประจำมัสยิดนูรุลฮุดา กำลังดูแลให้การสอนเด็ก ๆ หลายสิบคนอยู่ในห้องเรียนที่ชั้น 1 ของมัสยิด 

หลังคลื่นลูกแรกส่งปลายน้ำไหลมาเทียบข้างบริเวณรอบมัสยิด ชาวต่างชาติวิ่งหนีมาจากทางหาดด้วยชุดว่ายน้ำ และเมื่อเทศบาลประกาศเตือนภัย โกบและภรรยาพาเด็กนักเรียนหนีขึ้นอาคารชั้นดาดฟ้าด้วยสัญชาตญาณ 

“ตอนนั้นพ่อแม่เด็กไม่กล้ามารับ เลยเอาเด็กขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้า พอจนค่ำเขาก็มารับไปกันหมด แต่ตายายยังอยู่ที่มัสยิด อยู่กันสองคน ไม่มีใครแล้ว”

โกบ เจริญจิตต์ มุอัซซิน
โกบ เจริญจิตต์ มุอัซซิน
พื้นมัสยิด (ขวา) เทียบกับพื้นที่โดยรอบ (ซ้าย)
พื้นมัสยิด (ขวา) เทียบกับพื้นที่โดยรอบ (ซ้าย)

สองตายายไม่ได้ไปไหน แต่อยู่ต่อในมัสยิดที่สร้างสูกว่าบริเวณโดยรอบราว 1 ฟุต (มองด้วยสายตาปี 2568) เพราะเชื่อว่า ถ้ามัสยิดได้รับผลกระทบ ก็คงไม่มีที่ไหนเหลือรอด นี่เป็นความมหัสจรรย์ของชาวมุสลิมในภูเก็ต เนื่องจากเล่ากันว่า เมื่อวันสึนามิมาไม่มีมัสยิดที่ไหนถูกน้ำท่วม หรือแม้แต่น้ำได้ไหลเข้าไปในตัวอาคารเลย

ส่วนมัสยิดกมลา ปลายน้ำยังอยู่ไกลมัสยิดอยู่มาก ด้วยตัวมัสยิดอยู่ห่างหาดไป 1.6 กิโลเมตร อิหม่ามรอฟิก วีรยุทธ ส้มส่า ผู้เมื่อปี 2547 ดำรงตำแหน่งโคตีบ หรือรองอิหม่ามเล่าว่า มัสยิดได้ทำหน้าที่เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพตามหลักศาสนาให้กับชาวมุสลิมในกมลา ผู้ทำงานอยู่ริมหาด และเสียชีวิตจากสึนามิราว 7-8 ศพ

อิหม่ามรอฟิก วีรยุทธ ส้มส่า
อิหม่ามรอฟิก วีรยุทธ ส้มส่า

“ส่วนที่มัสยิดช่วยคือ การจัดการศพมุสลิมที่เสียชีวิต เรื่องอาบน้ำศพ ห่อศพ และช่วงค่ำก็ทำละหมาดศพ แล้วเอาศพไปฝัง […] คนแถวนี้มาช่วยกัน ทำกันอย่างอย่างทุลักทุเลมากเพราะเป็นช่วงฉุกเฉิน แต่ก็ได้แล้วเสร็จตามกระบวนการและระเบียบของอิสลาม” อิหม่ามรอฟิกกล่าว และกล่าวว่า มัสยิดได้เข้าไปช่วยที่อบต.ด้วยอีกส่วน ซึ่งขณะนั้นใช้เป็นพื้นที่กระจายของต่าง ๆ 

ส่วนคนท้องถิ่นบางส่วนก็มีมัสยิดเป็นที่ยึดเหนี่ยว คนไทยต่างถิ่นบางส่วนหันหน้าเข้าหาวัดพุทธ  นั่นคือในห้วงภัยพิบัติ แต่หลังจากนั้นล่ะ? ในกระบวนการเตรียมพร้อมอย่างการซ้อมอพยพประจำปี คนต่างถิ่นมีส่วนร่วมมากแค่ไหน?

3 ต่างยากเตรียมรับภัย: แรงงานต่างด้าว ต่างถิ่น นักท่องเที่ยวต่างชาติ

ปี 2568 ในภูเก็ตมีประชากรอยู่มากกว่า 432,000 คน แต่หากรวมประชากรแฝงแล้วอาจมีผู้คนราว 1.2-1.5 ล้านคนอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้


ประชากรแฝงที่ว่าคือคนที่ ประเสริฐศักดิ์ บำราบพาล พนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และนูรีต้า ลาดากามิง นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ ประจำปภ.ภูเก็ตเรียกว่า “3 ต่าง”

“3 ต่างก็จะมีคนไทยต่างถิ่น ต่างชาติที่มาเที่ยว ละแรงงานต่างด้าวที่มาประกอบอาชีพแรงงาน พวกสาธารณภัยต่าง ๆ มันไม่ได้เลือกกลุ่มคนว่าจะต้องเป็นคนไทยที่ได้รับผลกระทบ แต่กลุ่มคนต่างชาติ ต่างด้าว และต่างถิ่นก็จะได้รับผลร่วมกับคนพื้นที่” ประเสริฐศักดิ์กล่าว

กลุ่มคนเหล่านี้ดูเหมือนจะมีการเข้าถึงการซ้อมอพยพ และการอบรมน้อยกว่าคนในพื้นที่ ผู้เขียนได้คุยกับแรงงานชาวเมียนมา ไม่ประสงค์ระบุชื่อ ผู้ทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งหน้าหาดกมลา และอาศัยที่ภูเก็ตมากว่า 6 ปี แต่ไม่เคยไปร่วมซ้อมอพยพเลย แม้ว่ากมลาจะเป็นสถานที่หลักใน “การซ้อมอพยพหนีภัยสึนามิ” ใน 6 จังหวัด หรือ C-MEX ของภูเก็ตของตาม (จัดในระนอง, พังงา, กระบี่, ตรัง, สตูล, และภูเก็ต)

“ไม่ได้ซ้อมเพราะเป็นพม่า พูดไทยก็ไม่ค่อยได้ คนพม่าก็ไม่ไปซ้อมกันหรอก” แรงงานวัย 26 ปีกล่าว 

เขาบอกว่า แรงงานชาวเมียนมาด้วยกันไม่มีใครไปซ้อม อุปสรรคแรกคือภาษาไทยที่ไม่คล่องนัก และอีกข้อคือต้องทำงาน 

“ที่นี่ไม่มีวันหยุดหรอกครับถ้าเป็นหน้าไฮ [ไฮซีซัน]” เพื่อนที่ทำงานอีคนพูดแทรกหลังนั่งฟังมาพักหนึ่ง คนนี้มาอยู่ไทยนานเกิน 10 ปี แต่ไม่เคยไปร่วมซ้อมเช่นกัน

พวกเขาเล่าว่า พอรู้อยู่มาบ้างว่าหาดกมลาเคยเกิดอะไรขึ้น มีน้ำลดสุดลูกหูลูกตา มีปลาตัวใหญ่ และมีคลื่นลูกยักษ์ พอจะกะระยะความสูงของน้ำในวันนั้นเทียบกับความสูงประตูหน้าร้านได้ เป็นเรื่องที่ฟังมาจากเพื่อนแรงงานหรือนายจ้างชาวไทย แต่ที่ไม่รู้มากนักคือวิธีการรับมือ

เมื่อแรงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้เป็นคนพุทธ พวกเขาเข้าวัด และอาจจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศบางกลุ่ม ซึ่งเป็นมุสลิม ที่พวกเขาต้องไปรวมตัวกันในวันศุกร์ตามหลักศาสนาอิสลาม เมื่อศาสนาคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนกลุ่มนี้ไม่ต่างกัน ดังนั้นศาสนสถานสามารถเป็นพื้นที่ที่รวมเอา “คนนอก” เหล่านี้ เข้ามาอยู่ในกระบวนการเตรียมรับมือภัยพิบัติมากขึ้นได้หรือไม่?

แต่ “ศาสนสถาน” จะเป็นศูนย์อพยพได้ไหม ต้องสำรวจเสียก่อนว่า หน้าตาศูนย์อพยพที่ดี ควรเป็นอย่างไร

ศูนย์พักพิงที่ดี หน้าตาควรเป็นแบบไหน

“สถานที่ที่เหมาะสมกับการตั้งศูนย์อพยพมีหลักการง่าย ๆ เลยครับ คือมีสาธารณูปโภคที่ใช้งานได้ มีพื้นที่กว้างขวาง แล้วก็มีความปลอดภัย แข็งแรง มั่นคง” คุณชัพวิชญ์ ศิลารักษ์ นักฉุกเฉินการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีอธิบายหลักการทั่วไปของการเลือกสถานที่สร้างศูนย์พักพิง

วัดสุวรรณคีรีวงก์ (วัดป่าตอง)
วัดสุวรรณคีรีวงก์ (วัดป่าตอง)

หลักการการตั้งศูนย์พักพิงที่คุณชัพวิชญ์กล่าวถึงสรุปได้เป็น 6 ข้อคือ:

  1. สถานที่ที่มีความปลอดภัยและเข้าถึงง่าย ทั้งจากภัยธรรมชาติที่จำต้องเผชิญ และมีรั้วรอบขอบชิดป้องกันอาชญากรรม
  2. สาธารณูปโภคครบครัน น้ำประปา ไฟฟ้า ห้องน้ำ รองรับผู้อพยพอย่างเพียงพอ มีขนาดสถานที่เหมาะสมกับจำนวนประชากร หากเป็นสถานที่ที่สร้างไว้แล้ว และรอบรับการรวมตัวของคนจำนวนมาก (mass gathering) ได้ก็จะสะดวกมากขึ้น
  3. มีการลงทะเบียนและการจัดระเบียบความปลอดภัย เพื่อให้การบริหารงานภายในศูนย์เป็นไปได้ง่าย มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจตราความเรียบร้อย
  4. ดูแลรักษาความสะอาด ไม่แออัดเกินไป จัดการสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม แยกพื้นที่เก็บร่างผู้เสียชีวิตออกจากพื้นที่อยู่อาศัย เพราะอาจส่งผลในทางลบทั้งต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย
  5. มีกิจกรรมสันทนาการภายในศูนย์ เพื่อชุบชูจิตใจของสมาชิก 
  6. การเตรียมการล่วงหน้าและการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน 
ลานตรงข้ามมัสยิดกมลา
ลานตรงข้ามมัสยิดกมลา
ลานตรงข้ามมัสยิดกมลา มีป้ายศูนย์พักพิงชั่วคราว
ลานตรงข้ามมัสยิดกมลา มีป้ายศูนย์พักพิงชั่วคราว

เมื่อถามความเห็นคุณชัพวิชญ์ว่า คิดว่าวัดหรือศาสนสถานสามารถใช้เป็นศูนย์พักพิงเมื่อเกิดภัยพิบัติได้ไหม เขาตอบว่า ต้องใช้การพิจารณาสถานที่ โครงสร้างของศาสนสถานนั้น ๆ เป็นรายกรณีไปว่าเหมาะกับการเป็นศูนย์พักพิงจากภัยแต่ละประเทศรึเปล่า ซึ่งต้องใช้การสำรวจจากหลายหน่วยงานและบูรณาการร่วมกัน โดยมีแม่งานคือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แต่มีข้อควรระวังคือไม่ควรใช้ศาสนสถานที่ใช้เป็นที่เผาศพเป็นศูนย์พักพิง

“วัดเป็นได้ มัสยิดเป็นได้ โบสถ์เป็นได้ แต่วัดพุทธมีข้อเสียคือมีที่เผาศพอยู่ด้วย ซึ่งเราต้องสู้กับสงครามจิตวิทยาด้วย เห็นศพเผาทุกวัน ๆ จะจิตตกไหม แล้วเรื่องการเก็บศพเรื่องกลิ่นด้วย ถ้าจะใช้อาจต้องแยกศาสนสถานที่เป็นศูนย์พักพิง กับที่จัดการศพ” คุณชัพวิชญ์กล่าว

แผนรับมือภัยสึนามิปภ.ภูเก็ต ที่วัดและมัสยิดเป็นศูนย์พักพิงอยู่แล้ว

หากเราได้ไปเดินเยี่ยมชมชายหาดในจังหวัดภูเก็ต อาจสังเกตเห็นป้ายหรือเสาสีฟ้า เขียนเตือนว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิ และนำทางไปตาม "เส้นทางหลบภัย" ในกรณีเกิดภัย พาเราขึ้นที่สูงไปหา “ศูนย์พักพิงชั่วคราว”

วัดสุวรรณคีรีวงก์ หรือวัดป่าตองที่เราเพิ่งไปเยี่ยมมาแล้วคือ หนึ่งในศูนย์พักพิงชั่วคราวจากภัยสึนามิในภูเก็ตทั้ง 51 แห่ง

“ศูนย์พักพิงเป็นส่วนของโรงเรียน วัด มัสยิดต่าง ๆ ซึ่งสามารถรองรับผู้อพยพได้เบื้องต้นราว 4 หมื่นคน” จรัญ ขวัญแก้ว หัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ตกล่าว

จรัญ ขวัญแก้ว หัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต
จรัญ ขวัญแก้ว หัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต

นอกจากวัดในกมลา ยังมีการใช้มัสยิดผดุงศาสตร์และมัสยิดนูรุ้ลเอี๊ยะซานเป็นศูนย์พักพิง ศาสนาสถานทั้งสองแห่งรองรับคนได้ 300 คน ส่วนที่ป่าตอง มีการใช้วัดสุวรรณคีรีวงก์ และมัสยิดนูรุลอิลามเป็นศูนย์พักพิง รองงรับคนได้รวม 900 คน และนอกจากศาสนสถาน สถานที่ที่ปภ.ภูเก็ตนิยมใช้เป็นศูนย์พักพิงคือโรงเรียน และอาคารราชการ 

ภูเก็ตมีพื้นที่ประกาศเป็นจุดเสี่ยงภัยสึนามิ 69 แห่งใน 13 ตำบล ทั้ง 3 อำเภอของจังหวัดภูเก็ต กมลาคือหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงสูงที่สุด นอกจากศูนย์พักพิงสึนามิ 51 แห่ง ในพื้นที่เสี่ยงจะมีป้ายและเสาคอยนำทางไปสู่พื้นที่ปลอดภัย (สัญลักษณ์เตือนภัยคลื่นสึนามิ 1,600 ป้าย เสาหลักนำทาง 1,000 ป้าย และสัญลักษณ์บนผิวทาง 2,408 แห่ง)

ป้ายสัญลักษณ์ต่าง ๆ เป็นขั้นการเตรียมการ รายชื่อศูนย์พักพิงอยู่ในขั้นตอนการอพยพ นอกจากนี้มีส่วนการเตือนภัย  บนเกาะภูเก็ตมีเสาเตือนภัยอยู่ 19 แห่ง 11 เสาอยู่ในอำเภอเมือง และที่อำเภอกระทู้ และอำเภอถลาง อำเภอละ 4 เสา ส่วนประกาศเตือนภัยมี 5 ภาษาคือ ไทย จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเยอรมัน มีการตรวจสอบระบบเสียงทุกวันพุธเวลา 8 โมงเช้าด้วยการเปิดเพลงชาติไทย 

เสาเตือนภัยหน้าสถานีตำรวจ หน้าหาดกมลา
เสาเตือนภัยหน้าสถานีตำรวจ หน้าหาดกมลา

นอกจากนี้ ระบบเตือนภัยยังมีระบบ Cell Broadcast เตือนภัยควบคู่ (ภาษาไทย จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น และรัสเซีย) เพื่อให้การเตือนภัยไปถึงเป้าหมายที่ต่างกัน ทั้งหน้าหาด และนอกบริเวณหน้าหาด

สิ่งเหล่านี้ปรากฎอยู่บนแผนเผชิญเหตุภัยจากคลื่นสึนามิและแผนการอพยพประชาชน จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2568

ปภ.ภูเก็ตดำเนินการป้องกันภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฉบับปี 2564-2570 โดยมีแผนเผชิญภัยอยู่ 6 แผน แบ่งตามประเภทของภัยพิบัติที่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นในภูเก็ต (อัคคีภัย, ภัยแล้ง, ไฟป่า-หมอกควัน-ฝุ่นนละอองขนาดเล็ก, ดินโคลนถล่ม, อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม, และคลื่นสึนามิ) โดยมีแผนเผชิญเหตุสึนามิเป็นศูนย์กลาง 

“ภูเก็ตมีแผนรับมือสึนามิเป็นแผนตัวหลักของภูเก็ต ซึ่งมีการปรับปรุงทุกปี่ ก่อนจัดทำจะมีการประชุมหัวหน้าหน่วยราชการต่าง ๆ ชุมชนพื้นที่ เครือข่าย มูลนิธิต่างๆ แล้วจึงมีการประกาศใช้แผน” หัวหน้ากลุ่มงานกล่าว ก่อนเล่าแผนงานขององค์กร ทั้งส่วนการเตือนภัย ศูนย์พักพิง และการประสานงานกับท้องถิ่น

แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ ประชากรส่วนใหญ่ไม่รู้แผนการเหล่านี้ด้วย และขาดความเชื่อมั่นในการจัดการของราชการ

การสื่อสารที่ติดขัด ระหว่างปภ.และปชช.

“เขาน่าจะมีเตรียมการอะไรไว้นะ” 

“หวอเนี่ย พี่ไม่มั่นใจนะพูดตรง ๆ ทุ่นก็อยู่ในทะเล ไม่รู้แบตเตอร์รี เซ็นเซอร์ยังใช้ได้ไหม” 

“ก็คงต้องช่วยกันเอง ต้องพึ่งพิงสัญชาตญาณอะครับ” 

“ดีครับ ดีหมด ดีหมดเลยอะ เข้าใจใช่ไหม ดีไปหมด” คนท้องถิ่นรายหนึ่งตอบคำถามว่าคิดเห็นอย่างไรต่อการบริการงานการปกครองส่วนท้องถิ่น (ที่หมายถึงส่วนบริหารมากกว่าสำนักป้องกันภัยฯ)

นี่คือตัวอย่างของเสียงที่ผู้เขียนได้ฟังระหว่างลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านในตำบลกมลา และป่าตอง พบว่าพวกเขาขาดความเชื่อใจในองค์กรท้องถิ่นใน “ทุก ๆ เรื่อง” ส่วนหนึ่งมาจากความไม่พอใจการซื้อขายที่ดินให้ทุนต่างชาติ การปล่อยให้ภูเก็ตเติบโตโดยไม่มีการวางแผน และความไม่ไว้ใจกรณีทุจริต 

ความไม่ไว้วางใจต่อคณะทำงานท้องถิ่น ผสมกับการสื่อสารที่ยังต่อกันไม่สมบูรณ์ ทำให้แผนที่ปภ. ภูเก็ตทำใหม่ทุกปี ปีละหลายแผน แผนละหลายร้อยหน้า เรียงรายด้วยรายละเอียดทั้งขั้นตอนสังเกตการณ์ ขั้นตอนเตือนภัย และขั้นตอนอพยพ และสามารถเข้าถึงได้ฟรีบนอินเทอร์เน็ต ชาวบ้านไม่ได้เข้าถึงสักเท่าไหร่

“มีการประกาศใช้แผน มีการทำประชาสัมพันธ์ใช้แผนทั้งทางไลน์ของปภ.ภูเก็ต หอกระจายข่าวอำเภอของท้องถิ่นท้องที่ต่าง ๆ และผ่านเครือข่ายต่าง ๆ ในจังหวัด” คุณจรัญกล่าว

เพราะความไม่พอใจในการบริหารท้องถิ่น รวมกับความสงสัยเรื่องเทคนิคและคุณภาพระบบเตือนภัย อาทิ เรื่องความดัง จำนวนเสาเตือนภัย ชาวบ้านหลายส่วนจึงใช้การ “เตือนกันเอง” มากกว่า

พวกเขาดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเตือนภัย และโพสต์ข่าวเตือนในกลุ่มสื่อสังคมออนไลน์ท้องถิ่นเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว แต่สิ่งที่ปภ.กังวลคือ หลายครั้งการแจ้งเตือนในกลุ่มเหล่านี้เจือปนความตื่นตระหนกมาก ทำให้ยิ่งส่งสารที่มีความตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุเข้าไปอีก กลายเป็น misinformation หรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง 

“ผมว่า [misinformation] มาจากความตื่นตระหนกมากกว่า เราอยากให้ตื่นตัว แต่ไม่ใช่ตื่นตระหนก บางเรื่องชาวบ้านส่งต่อไป เช่น แผ่นดินไหว 4.0 ซึ่งจริง ๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย บางครั้งไม่มีผลกระทบเลย แต่มีการเอามาลงว่าภูเก็ตระวังนะ มีแผ่นดินไหวที่โน่นที่นี่” จรัญกล่าว

การขาดการติดต่อสื่อสารอาจเป็นได้อีกทางคือเสียงตามสายที่หายไป พระวีระ กันตะวีโร พระในสำนักสงฆ์เจริญกมลาเล่าว่า แต่เดิมกมลาเคยมีเสียงตามสายอยู่ แต่ไม่เห็นมีการใช้งานมานานร่วม 2-3 ปีแล้ว

เสาเสียงตามสายที่สำนักสงฆ์เจริญกมลา ไม่ได้ใช้งานมานานกว่า 2 ปี
เสาเสียงตามสายที่สำนักสงฆ์เจริญกมลา ไม่ได้ใช้งานมานานกว่า 2 ปี

“การประชาสัมพันธ์สื่อสารของอบต.มันขาดหายไป ประชาชนก็ทราบข่าวกันเองบอกต่อกันเอง ถ้าอบต.คอยประกาศว่าจุดนั้นท่วม จุดนี้ท่วมก็คงดี แต่ตอนนี้หายไป เพราะเปลี่ยนผู้บริหาร ทำงานไม่ต่อเนื่อง [...] ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นเขาก็ไลฟ์สดกัน ถึงได้ออกข่าว เป็นทอด ๆ ไปมันก็ไม่ทันการ ถ้าอบต.ประกาศเลยมันก็จะเร็ว ”

แม้คณะทำงานจากส่วนราชการจะมั่นใจในการประชาสัมพันธ์ และการบูรณาการระหว่างกัน แต่เมื่อลงพื้นที่จริง ๆ จะพบว่า มีจิ๊กซอว์บางชิ้นหายไป ทำให้การสื่อสารเป็นไปไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร นี่หรือเปล่าทำให้ misinformation เข้ามาแทรกกลางความไว้วางใจที่หายไป?

แล้วเมื่อนึกถึงศาสนสถาน อันเป็นแกนกลางของบทความนี้ พวกเขามีส่วนร่วมในแผนอพยพท้องถิ่นมากแค่ไหน ทั้งในแง่ผู้ประสบภัย และสถาบันที่กล่าวว่าเป็นที่พึ่งพิงของชุมชน

ไม่ซ้อมอพยพ ไม่มีแผนอพยพในศาสนสถาน

“เพิ่งมีการซ้อมอพยพ C–MEX ไปเมื่อวันที่ 24-27 มิถุนายนครับ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี วันนั้นที่มีการฝึกซ้อมก็มีมาสักประมาณพันกว่าคน [...] ในจังหวัดภูเก็ต ผู้ประกอบการและประชาชนเขาให้ความสนใจเรื่องการจัดการภัยพิบัติ เขามาเอง มาด้วยความเต็มใจ” คุณจรัญ จากปภ.ภูเก็ตกล่าว

คนที่ไปซ้อมอพยพไปด้วยความเต็มใจ จากการสอบถามของผู้เขียน หลายส่วนเป็นตัวแทนจากภาคธุรกิจในพื้นที่ ผสมกับคนภูเก็ตท้องถิ่น แต่บุคลากรในศาสนสถานพบว่าน้อยมากที่จะไปร่วมการฝึกซ้อมด้วย 

“ถ้าเกิดเหตุจริง ๆ จะมีโยมวิ่งรถคอยมาถามว่า จะอพยพไหม จะพาไป  เป็นโยมที่มาทำบุญและห่วงใยวัดอยู่” พระวีระกล่าว 

สำนักสงฆ์เจริญกมลา
สำนักสงฆ์เจริญกมลา

พระวีระอ้างถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รอยเลื่อนคลองมะรุ่ยราวปี 2551-2552 ซึ่งมีชาวบ้านขับรถมาชวนพระในสำนักสงฆ์อพยพด้วยกัน ทำให้พระสงฆ์มั่นใจในระบบการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันระหว่างชาวพุทธ จึงไม่ได้เข้าร่วมการซ้อมอพยพประจำปี

ห่างสำนักสงฆ์เจริญกมลาออกไปราว 7 กิโลเมตร ที่มัสยิดนูรุลฮุดา ป่าตอง อาจกล่าวได้ว่า เพราะห่างศูนย์กลางการซ้อมอพยพ สมาชิกวัดจึงไม่ได้ไปร่วมซ้อม แต่เหตุผลหลักมาจากศรัทธายึดมั่นว่ามัสยิดคือที่สุดท้ายในโกบ เจริญจิตต์จะมีชีวิต

“บังไม่เคยไปซ้อมอพยพเลย เพราะคิดว่าถ้าเกิดเหตุอะไรแรงจริง ๆ ขอฝากตัวไว้กับมัสยิด ขอตายไปกับมัสยิดเลย” โกบกล่าว 

อิหม่ามสนธยา เจริญจิตต์
อิหม่ามสนธยา เจริญจิตต์

ด้านอิหม่ามมัสยิดเดียวกัน สนธยา เจริญจิตต์กล่าวตรง ๆ ว่า มัสยิดเองไม่มีแผนอพยพในตอนนี้ แต่พึ่งพิงประสบการณ์ที่เคยประสบมากกว่า

“มัสยิดยังไม่มีแผนอพยพในตอนนี้ แต่คนในพื้นที่มีประสบการณ์ อย่างน้อยที่สุดก็ตอนสึนามิ ทุกคนพอรู้ว่าส่วนไหนปลอดภัย พอรู้ว่าในละแวกใกล้เคียงไปตรงไหนได้บ้าง” สนธยากล่าว

ศาสนสถานบางแห่งชินชากับน้ำท่วมซ้ำซาก คิดว่าน้ำมาก็เก็บล้าง ศาสนสถานบางแห่งไม่เคยโดนภัย มั่นใจว่าเป็นสิ่งไกลตัว จึงไม่ดีมีแผนอพยพ วางความไว้ใจอยู่บนการช่วยเหลือของชุมชน และความศักดิ์สิทธิของสถานที่ 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ศาสนสถานและบุคลากรภายในเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเข้าร่วม และผู้เขียนมีความคิดเห็นส่วนตัวว่าจะช่วยเพิ่มความรู้ และภูมิคุ้มกันให้บุคลากรภายใน คือการบูรณาการกับศาสนสถานไปอีกขั้น ด้วยการใช้เป็นพื้นที่กระจายข่าวและความรู้เกี่ยวกับภัยในสถานการณ์ปกติ

ศาสนสถาน บูรณาการเพิ่ม เป็นมากกว่าศูนย์พักพิงได้ไหม?

ตอนนี้การใช้งานศาสนสถานเรื่องภัยพิบัติคือการใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว แต่อาจขยับขยายได้ไหม โดยเฉพาะเรื่องการกระจายข่าวสารและให้ความรู้ ในเมื่อมีการใช้งานเพื่อสาธารณประโยชน์ด้านอื่นอยู่แล้ว

“โดยทั่วไปก็จะมีเทศบาลมาใช้เป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่, จัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น ประชุมเทศบาลกับกลุ่มคนขับแท็กซี่, มีการจัดอบรมจากตำรวจ เรื่องจราจร เรื่องความปลอดภัยในชีวิต เรื่องยาเสพติด และมีการจัดอบรมการดับเพลิงจากปภ.” สนธยา อิหม่ามมัสยิดนูรุลฮุดากล่าว 

“ปกติก็มีคนมาใช้พื้นที่วัดทำอบรมต่าง ๆ มีหน่วยเลือกตั้ง 3 หน่วย” รองเจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวงก์กล่าว

“ตอนนี้ยังมีการติดต่อกัน [กับหน่วยงานบริหารท้องถิ่น] น้อยมาก แต่เชาก็มีมาขอให้เป็นสถานที่จัดเลือกตั้งบ้าง” อิหม่ามมัสยิดกมลากล่าว

เหล่านี้คือตัวอย่างของการใช้สถานที่ศาสนสถานเพื่อสาธารณประโยชน์นอกเหนือจากกิจกรรมทางศาสนา ซึ่งบุคลากรในวัดและมัสยิดทุกแห่งตอบว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“มัสยิดยินดีเป็นพื้นที่ให้กับทุกหน่วยงานที่จะเข้ามาสร้างประโยชน์ให้คนในพื้นที่ ไม่ใช่ว่าเป็นมัสยิดแล้วจะดูแลแค่มุสลิมต่างศาสนาก็ได้  ใครก็ได้ เราพร้อมจะอำนวยความสะดวกให้ทุกคนในสังคม” อิหม่ามสนธยากล่าว

มัสยิดกมลา
มัสยิดกมลา

เขากล่าวว่า ศาสนสถานเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการกระจายข่าวและข้อมูลมาก อย่างมัสยิดนูรุลฮุดาที่มีการรวมตันของมุสลิมราว 200-300 คนทุกวันศุกร์ ไม่ใช่แค่ชาวไทยมุสลิม แต่มุสลิมต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวที่ภูเก็ตด้วย 

“มัสยิดมีข้อดีคือ ทุกวันศุกร์จะมีการสื่อสารกับคนในพื้นที่ [การแสดงธรรมแบบมุสลิมในเย็นวันศุกร์เรียกว่า คุตบะฮฺ] หรือคนที่แวะเวียนมา เป็นการสื่อสารกับคน อาจเป็นเหตุการณ์ที่ต้องรู้ เช่น น้ำท่วมหาดใหญ่ แต่ป่าตองทำอะไรได้บ้าง ถ้าเราบรรจุเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ มัสยิดก็ทำได้เลย” อิหม่ามกล่าวเสริม

ด้านคุณชัพวิชญ์มีความเห็นว่า การให้บุคลากรในศาสนสถานช่วยกระจายความรู้เรื่องภัยพิบัตินั้นทำได้ เพราะเขาถึงกลุ่มผู้สูงวัย และคนอีกหลายกลุ่มได้ แต่คงไม่อยาก “เพิ่มภาระ” ให้พระ อิหม่าม หรือบาทหลวงในโบสถ์คริสต์ อีกทั้งผู้ที่สามารถให้ความรู้เรื่องภัยได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนต้องผ่านการฝึกฝนอบรมหลายปี การจัดทำวิดีโอ หรือสื่อให้วัดจึงอาจเหมาะกว่า

พระวีระ พระครูสุวรรณสุนทรวัตร และอิหม่ามรอฟิกเองก็เห็นไปในทางเดียวกันว่าสามารถเพิ่มเนื้อหาที่ภาครัฐหรือองค์กรต่าง ๆ จัดหามาไปในการเทศนาได้ หรือใช้การประกาศเสียงอาซานช่วยเตือนภัยทั้ง 2 มัสยิดก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง 

เพียงแต่รูปแบบการสอดแทรกเนื้อหาในการเทศนาหรือบทคุตบะฮฺ ในบทอาจต้องปรับให้เหมาะกับความพร้อมของแต่ละสถานที่ เช่น หากหน่วยงานจัดทำมาเป็นวิดีโอ ก็อาจไม่เหมาะกับมัสยิดกมลาซึ่งไม่มีเครื่องมือฉายภาพให้ประชาชนดู

“แต่ว่าอย่างหนึ่งที่อยากจะฝากคือ มัน [การอบรม] มาเป็นรอบ ๆ คือมีภัยพิบัติหนึ่ง ก็จะมีมาโครงการหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะเงียบเลย อยากฝากเรื่องการสร้างความตื่นรู้ อาจจะทำทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ” อิหม่ามสนธยากล่าว

การอบรมทีอิหม่ามกล่าวถึงจัดโดยหลายภาคส่วน ด้านปภ.ภูเก็ตเองก็มีการจัดอบรมตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างโรงเรียน หรือศาสนถานเช่นกัน โดยปภ.จังหวัดภูเก็ตจัดอบรมราวปีละ 20 ครั้ง และมีการอบรมโดยปภ.เขตแยกอีกตางหาก

ภัยพิบัติเหล่านี้ หากเกิดขึ้นแล้วล้วนส่งผลต่อทุกคน ไม่ได้เลือกว่าจะเกิดกับคนท้องที่ที่เคยมีประสบการณ์ หรือคนที่เคยผ่านการอบรมอย่างดีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การซ้อมอพยพ การอบรม อาจไม่ได้รวมเอาคนกลุ่มนี้เข้าไปด้วย

น้ำท่วม อุทกภัยเพิ่มขึ้นพร้อมความเจริญในภูเก็ต

“เกิดมาก็น้ำท่วมแล้ว แต่ท่วมสมัยก่อนมันไม่เป็นอย่างนี้” อิหม่ามรอฟิก มัสยิดกมลากล่าว “[สมัยก่อน] มันจะลง จะหลากลงท้องนาหมด แต่ว่าตอนนี้บ้านเรือนมันก็บีบ น้ำระบายไม่ทันก็ล้นลงมาบนถนน ความเสียหายก็มากขึ้น”

ป่าตองและกมลามีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี เป็นน้ำท่วมซ้ำซากที่คนท้องถิ่นเห็นจนชินตา ข้อดีคือ มาไว ไปไว ไม่ถึงวัน หรือบางครั้งไม่ถึงชั่วโมง น้ำที่เอ่อขึ้นอย่างรวดเร็วก็หายไปหมด ความเสียหายคือต้องเก็บล้างทำความสะอาด และของเล็กของน้อยที่ลอยไปตามน้ำ เนื่องจากน้ำมาไวจนเก็บของไม่ทัน 

อย่างไรก็ตาม หลายปีหลังมานี้ คนพื้นที่สังเกตว่า การระบายน้ำเป็นไปช้าลง อิหม่ามสนธยาสังเกตเห็นข้อนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

“แต่เดิมพื้นที่นี้อาจมีน้ำท่วมบ้าง แต่ไม่ขัง เว้นมีฝนตกแช่ เพราะเมื่อก่อนมีพื้นที่รับน้ำ ฝนมาก็ซึมงพื้นได้ แต่พอเมืองขยาย มีการถมที่ ทุกคนเทคอนกรีต เทซีเมนต์เพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะขวางทางน้ำไหม” เขากล่าว พร้อมระบายความในใจว่า ป่าตองโตเร็ว เร็วจนคนที่อยู่เดิมรับมือไม่ทัน และไม่มีแผนรับมือการเติบโตเลยในช่วงแรก

อีกเหตุการณ์ที่ทำให้คนภูเก็ตอย่างมุอัซซินโกบคำนึงถึงเรื่องน้ำท่วมมากขึ้นคือ น้ำท่วมใหญ่ที่ 10 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่นั้นสร้างความกังวลให้คนป่าตองบ้างเหมือนกัน 

“ป่าตองถ้าคิดแบบบ้าน ๆ ถ้าจะท่วมก็เป็นไปได้ เพราะป่าตองเป็นหุบ มีภูเขาล้อมรอบ สมมิน้ำทะลุหนุนขึ้นมา แล้วมีฝนตก 3 วัน 3 คืน แล้วมันจะไปไหน [...] มันก็เป็นไปได้ แต่ขออย่าให้เป็นเลย” โกบกล่าว วันที่ให้สัมภาษณ์เขาเพิ่งกลับมาจากการลงไปช่วยเหลือน้ำท่วมที่หาดใหญ่เพียง 1 วัน

ความกังวลของโกบไม่ได้คิดไปอย่างเลื่อนลอย แต่วิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อระดับน้ำทะเล และชุมชนชายฝั่งจริง ข้อมูลจาก UNDP เดือนพฤศจิกายนปี 2024 ระบุว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 23 เซนติเมตรตั้งแต่ปลายศตวรษที่ 19 ส่งผลให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่งที่รุนแรงขึ้น ทั้งวิกฤตโลกรวนยังนำมาซึ่งโลกระบาด อุณหภูมิมหาสมุทรเพิ่มสูง เป็นอันรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล และจังหวัดริมชายฝั่งของไทยจะได้รับผลกระทบจากภัพิบัติเพิ่มมากขึ้นหลายประเภท

หากจะสรุปบทความนี้ ภัยพิบัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ยิ่งท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอกาศ และเมือที่เปลี่ยนไป ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการเตรียมรับมือ ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการจากหลายฝ่าย ศาสนถานคือหนึ่งในนั้น การขยายขอบเขตบูรณาการเพื่อให้ศาสนสถานเตรียมพร้อมรับภัยได้ดีขึ้น ทั้งยังเป็นที่พึ่งของคนกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะคนท้องถิ่น หรือต่างถิ่นก็อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือได้บ้าง สักเล็กน้อย

ชิ้นงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ UNDP Media Fellowship on Sustainable Development ในด้านการเสริมสร้างความพร้อมรับ-ปรับ-ฟื้นจากภัยพิบัติ ภายใต้โครงการเตรียมความพร้อมรับมือภัยสึนามิ ข้อความ มุมมอง และความคิดเห็นที่นำเสนอในเนื้อหานี้ไม่จำเป็นต้องสะท้อนมุมมองของ UNDP


แชร์
21 ปีสึนามิ สำรวจบทบาทศาสนสถานยามภัยพิบัติ  เมื่อภัยไม่เลือกความเชื่อ