Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
จับตา 3 เรื่องเซอร์ไพรส์ที่อาจเปลี่ยนทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2026
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

จับตา 3 เรื่องเซอร์ไพรส์ที่อาจเปลี่ยนทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2026

25 ธ.ค. 68
16:19 น.
แชร์

ปี 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯทำผลงานได้น่าพอใจ แม้ว่าจะไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้วว่าไม่น่าจะพุ่งทะยานได้มากเท่าปีก่อนหน้า

สำหรับปี 2026 นักพยากรณ์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า จะยังคงเป็นช่วงเวลาที่ดีอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

ธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) เป็นหนึ่งในหลายสถาบันในวอลล์สตรีทที่คาดการณ์ว่าปี 2026 จะเป็นปีที่สดใสของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยประเมินไว้ในรายงานแนวโน้มปี 2026 ว่า ดัชนี S&P 500 จะเพิ่มขึ้นอีก 13% เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง และการฟื้นตัวแบบหมุนเวียนต่อเนื่อง (rolling recovery) ที่กระจายทั่วระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ต้องยอมรับว่าในโลกความเป็นจริงไม่มีอะไรแน่นอน อาจมีเหตุไม่คาดคิดหรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นมาแล้วเขย่าตลาด ไปจนถึงขั้นเปลี่ยนทิศทางตลาดให้พลิกกลับแนวโน้มจากดีกลายเป็นร้าย หรือจากร้ายเป็นดีได้เสมอ 

ทีมนักกลยุทธ์ของมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) นำโดย แมททิว ฮอร์นบัค (Matthew Hornbach) ได้ระบุถึง 3 สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแบบเหนือความคาดหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2026 

1. ภาวะผลผลิตเพิ่มสูงโดยไม่มีการสร้างงานเพิ่ม

เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญกับ ‘ภาวะผลผลิตเพิ่มสูงโดยไม่มีการจ้างงาน’ (jobless productivity boost) ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่รุนแรงกว่า ‘การฟื้นตัวโดยไม่มีการจ้างงาน’ (jobless recovery) โดยอาจเป็นผลจากการนำระบบอัตโนมัติหรือปัญญาประดิษฐ์มาใช้มากขึ้น ทำให้ผลิตภาพเพิ่มโดยที่ไม่ต้องใช้แรงงานเพิ่ม

ทั้งนี้ ภาวะนี้จะช่วยกดเงินเฟ้อลงและเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก

นักกลยุทธ์ของมอร์แกน สแตนลีย์ อธิบายว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ตลาดแรงงานสหรัฐฯที่อ่อนแอจะจำกัดการเติบโตของค่าจ้างและอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่การเพิ่มผลผลิตอย่างรวดเร็วจะช่วยประคองให้ระดับการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงทรงตัว และคาดว่าภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจลดลงต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด

“ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงจากฝั่งอุปทานนี้จะทำให้เฟดมีช่องว่างในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับที่ผ่อนคลาย โดยที่นักลงทุนไม่ต้องกังวลว่านโยบายที่ผ่อนคลายจะไปกระตุ้นให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีก” ฮอร์นบัคกล่าว พร้อมเสริมอีกว่า สถานการณ์ดังที่คาดนี้อาจช่วยลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลการคลังได้ด้วย

ฟังดูแล้ว ภาวะดังกล่าวนี้อาจไม่ใช่ข่าวร้ายที่สั่นคลอนให้ตลาดร่วงลงในทันที แต่เป็นภาวะที่จะเพิ่มความผันผวนในตลาดได้ เพราะนักลงทุนอาจจะสับสนเมื่อเจอสภาวะเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะดี แต่มีคนว่างงานมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เดาทิศทางยากขึ้นว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยหรือจะคงดอกเบี้ย

ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของครัวเรือนจะลดลงเพราะมีคนว่างงานมากขึ้น และหากเป็นเช่นนั้นไปนาน ๆ ตลาดหุ้นก็จะขาดแรงส่งจากภาคการบริโภค ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

2. การกลับทิศความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับพันธบัตรอีกครั้ง 

โดยปกติแล้ว ราคาหุ้นมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาพันธบัตร เนื่องจากเมื่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลง นักลงทุนจะหันไปหาความปลอดภัยในพันธบัตร แต่ในปี 2025 สถานการณ์กลับพลิกไปจากปกติ ทั้งราคาหุ้นและราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นคู่กันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 

นักกลยุทธ์ของมอร์แกน สแตนลีย์ มองว่า ภาวะดังกล่าวมีเหตุผลส่วนหนึ่งมาจาก ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะที่ ‘ข่าวร้ายกลายเป็นข่าวดี’ ซึ่งหมายถึงการที่ข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอส่งผลดีต่อหุ้น เพราะมันกระตุ้นให้นักลงทุนมองโลกในแง่ดีว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนจึงซื้อหุ้นเก็งกำไรก่อนการลดดอกเบี้ย 

อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์มองว่า กลไกนี้อาจพลิกกลับอีกครั้ง หากเงินเฟ้อลดลงจนกลับสู่เป้าหมายของเฟดในปีหน้า เนื่องจากพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นทั้งสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

มาร์ติน โทเบียส (Martin Tobias) และอีไล คาร์เทอร์ (Eli Carter) สองนักยุทธศาสตร์ของธนาคาร มอร์แกน สแตนลีย์ วิเคราะห์ว่า เมื่อความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับเป้าหมาย และมีความเสี่ยงที่จะตกลงไปต่ำกว่านั้น สภาวะ ‘ข่าวร้ายคือข่าวร้าย’ (bad-is-bad) สำหรับสินทรัพย์เสี่ยง (หุ้น) จะกลับมา และจะทำให้พันธบัตรกลับมามีคุณสมบัติในการป้องกันความเสี่ยงอีกครั้ง 

กล่าวคือ ถ้ามีข่าวร้าย ตลาดหุ้นจะแย่ลง เพราะไม่มีแรงหนุนจากการเก็งกำไรเรื่องดอกเบี้ยคอยพยุงแล้ว ดังนั้น นักลงทุนจะโยกเงินไปพักในพันธบัตรแทนที่ความเสี่ยงน้อยแทน 

ราคาโภคภัณฑ์และพลังงานพุ่งสูงขึ้น

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงพลังงานมีการปรับตัวขึ้นอย่างมากในปี 2025 และอาจเกิดขึ้นซ้ำอีกในปี 2026 โดยนักกลยุทธ์ของมอร์แกน สแตนลีย์ คาดการณ์ว่า มีเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้แก่ 

-ธนาคารกลางสหรัฐฯลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯมีความน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ทั่วโลก และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ลดลง

-เงินดอลลาร์ที่ถูกลงบวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้บริโภคแร่หายากและโลหะมีค่ารายใหญ่ที่สุดของโลก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลกด้วย 

มอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงและการบริโภคที่แข็งแกร่งในจีน จะผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นจนทำระดับสูงสุดใหม่ 

โดยรวมแล้ว ผู้พยากรณ์คาดว่าปี 2026 จะเป็นปีที่ดีสำหรับราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น อุปทานที่ตึงตัว ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากกระแส AI และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่มากขึ้น 

ราคาโภคภัณฑ์และพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นนั้น จะกลายเป็นต้นทุนมหาศาลที่กดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ และส่งผลต่อราคาหุ้น 

ขณะเดียวกัน การที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจะส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ สองทาง คือ ส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนั้นมีรายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนมากหรือน้อย และอีกทางหนึ่ง แรงดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศอาจน้อยลง เพราะนักลงทุนเกรงว่าจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน หากต้องการแลกเงินกลับในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง

อ้างอิง: Business Insider และ Market Watch 

แชร์
จับตา 3 เรื่องเซอร์ไพรส์ที่อาจเปลี่ยนทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2026