
เศรษฐกิจไทยเผชิญวิกฤตศรษฐกิจและการเงินมาหลายครั้งในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งศักยภาพมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลดลงเรื่อย ๆ ความสามารถในการแข่งขันถดถอย ภาคธุรกิจและครัวเรือนก็เปราะบางมากขึ้น
หลายฝ่ายมองตรงกันว่า สภาพอันไม่พึงประสงค์ที่เศรษฐกิจไทยเป็นอยู่นี้ จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เร่งด่วน และต่อเนื่อง ในปี 2568 นี้จึงเกิด ‘Reinvent Thailand’ ขึ้นมา ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ผนึกความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาคการเงิน และภาครัฐในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสร้างพลวัตใหม่สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีภาคเอกชน คือ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน
ล่าสุด ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ของธนาคารกรุงไทยวิเคราะห์ว่า การเร่งรัดการลงทุนโดยมุ่งเป้าใน 6 อุตสาหกรรมตามแนวทาง Reinvent Thailand ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและสร้างตัวคูณทางเศรษฐกิจ (multiplier) ได้สูง จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ระยะข้างหน้าได้อีกประมาณ 0.2-0.4% ต่อปี ผ่านการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับผลิตภาพและทักษะแรงงาน โดยใช้ประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่ออกมา เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และการค้ำประกันสินเชื่อที่จะช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์เศรษฐกิจโตต่ำของไทยมาจากการลงทุนที่แผ่วลงกว่าเดิม 5 เท่า และฉุดรั้งให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลงไปถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงกว่า 20 ปีก่อน ด้วยผลพวงจากรอยแผลเป็นหลังวิกฤตหลายระลอก และความท้าทายในการรับมือกับบริบทโลกใหม่ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ดร.พชรพจน์เผยว่า การลงทุนของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนภาพชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยสัดส่วนกระแสเงินสดในกิจกรรมลงทุนต่อสินทรัพย์รวม และอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนชะลอลงเหลือปีละ 3.8% และ 2.6% ตามลำดับ ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบจากช่วงกว่า 20 ปีก่อน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และเทคโนโลยี
ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในระยะหลัง ๆ มานี้ (ปี 2560 – 2567) พบว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนามสามารถดึงดูด FDI ได้สูงกว่าไทยถึง 3 เท่าตัว ขณะที่บทบาทการมีส่วนร่วมของไทยต่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยังค่อนข้างน้อย เนื่องจากแรงงานทักษะสูงมีน้อยกว่าคู่แข่ง
“นอกจากนี้ การลงทุนที่อ่อนแอยังกดดันการผลิตภาคอุตสาหกรรมให้โตช้าลง โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นการพึ่งพาปัจจัยทุน”
ดร.ฉมาดนัย มากนวล ผู้อำนวยการฝ่าย Business Risk and Macro Research ธนาคารกรุงไทย แนะว่า ไทยต้องเร่งลงทุนทั้งในมิติการพัฒนากระบวนการผลิตไปสู่การใช้นวัตกรรม โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักรใหม่และโรงงานอัฉริยะ (smart factory) ให้สอดรับกับโครงสร้างแรงงานที่เปลี่ยนไปตามสังคมสูงวัย และในมิติการพัฒนาทักษะแรงงานแบบ Right Re-Skill & Up-skill ขณะเดียวกันต้องเสริมศักยภาพด้วยการต่อยอดจากจุดแข็งที่มีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยอาศัยแนวทาง Reinvent Thailand ที่จะสนับสนุนการยกระดับใน 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายตั้งต้น ได้แก่ Agri & Food Processing (เกษตรและแปรรูปอาหาร), Automotive (ยานยนต์), Smart Electronics (อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ), Medical & Wellness (การแพทย์และสุขภาพ), Tourism (การท่องเที่ยว) และ Retail & Trading (ค้าปลีกและการค้า)
ดร.ฉมาดนัยบอกว่า ทั้ง 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายตั้งต้นล้วนเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม New S-Curve อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยมีจำนวนผู้ประกอบการราว 240,000 ราย (46% ของจำนวนผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SME) มีการจ้างงานมากถึง 10.6 ล้านคน (55% ของการจ้างงานจากธุรกิจทั้งหมด) และสร้างรายได้ต่อปีรวมกว่า 38 ล้านล้านบาท (64% ของรายได้รวมทุกธุรกิจ)
กฤตตฤณ เหล่าฤทธิ์ นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS กล่าวว่า การพุ่งเป้ายกระดับการลงทุนตามแนวทาง Reinvent Thailand จะสามารถช่วยสร้างผลตอบแทนกลับมาเป็นมูลค่าเพิ่มสูง
Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากไทยสามารถเพิ่มการลงทุนใน Priority Sectors ทั้ง 6 สาขาข้างต้น อย่างน้อยให้มีอัตราการเติบโตเทียบเท่ากับอัตราการเติบโตในช่วง 10 ปีก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2553 - 2562) จะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีระยะข้างหน้าได้อีกประมาณ 0.2-0.4% ต่อปี อีกทั้งยังเป็นการช่วยปรับโครงสร้างธุรกิจและแรงงานไทยให้สอดรับกับบริบทโลกมากขึ้น เพิ่มผลิตภาพ ซ่อมสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ (new growth engine) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศ อันเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นรากฐานสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป