Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
6 ปรากฏการณ์ในปี 2025 สะท้อนภาพปีที่ผันผวนสุดขั้วของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

6 ปรากฏการณ์ในปี 2025 สะท้อนภาพปีที่ผันผวนสุดขั้วของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

22 ธ.ค. 68
21:00 น.
แชร์

ปี 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯทำผลงานได้ดีกว่าที่มีการคาดการณ์กันไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่กว่าจะมาถึงปลายปีก็ผ่านความผันผวนอย่างหนัก ทั้งขึ้นสุดและลงสุด ไม่เกินจริงที่บลูมเบิร์ก (Bloomberg) นิยามว่า ปี 2025 เป็นปีที่นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั่งรถไฟเหาะสุดผันผวน

ในเดือนเมษายน ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างรุนแรงจนเกือบเข้าสู่ภาวะ ‘ตลาดหมี’ จากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อทรัมป์ผ่อนคลายนโยบาย และในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ดัชนีหุ้นสหรัฐฯก็เดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า จากแรงหนุนของกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

ความผันผวนที่ทำให้นักลงทุนเวียนหัวสะท้อนชัดผ่าน VIX ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความคาดหวังต่อความผันผวนของราคาหุ้น โดยเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2025 ดัชนี VIX พุ่งขึ้นเหนือระดับ 50 เนื่องจากตลาดตื่นกลัวต่อแผนการขึ้นภาษีในวงกว้างของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งนับเป็นการพุ่งขึ้เหนือ 50 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงโรคระบาดโควิด-19 และเป็นเพียงครั้งที่สองนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลก (ปี 2008) แต่ต่อมา VIX ก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว หลังทรัมป์เลื่อนการเก็บภาษีออกไปสามเดือน โดย VIX ลดลงต่ำกว่า 20 ในเดือนพฤษภาคม แล้วทรงตัวอยู่ในระดับนั้นมาจนถึงปลายปี  

นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นแล้ว 16% หลังจากที่ติดลบถึง 15% ในเดือนเมษายน และกำลังมุ่งหน้าสู่การทำผลตอบแทนเป็นเลขสองหลักต่อเนื่องเป็นปีที่สามติดต่อกัน

บลูมเบิร์กฉายภาพความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ออกมาผ่าน 6 ปรากฏการณ์ ดังนี้

1. เงินทุนไหลออกจากกองทุน

การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในปี 2025 แบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือเดือนเมษายน และหลังจากนั้น มาตรการภาษีของทรัมป์เกือบจะยุติตลาดกระทิงที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปี เมื่อกองทุน ETF จำนวนมากเผชิญกับเงินไหลออกสุทธิอย่างรุนแรงในเดือนเมษายน

ท็อดด์ โซห์น (Todd Sohn) นักกลยุทธ์อาวุโสด้าน ETF และเทคนิคจาก Strategas Securities กล่าวว่า กระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้า ETF หุ้นชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่ราวเดือนมีนาคมต่อเนื่องจนถึงช่วงฤดูร้อน (ฤดูร้อนของสหรัฐฯ คือช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม) เนื่องจากนักลงทุนได้ไตร่ตรองถึงผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อสภาพแวดล้อมของตลาด เขาวิเคราะห์ด้วยว่า เงินทุนที่ไหลออกจากหุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าว สอดคล้องกับภาวะที่นักลงทุนลดการรับความเสี่ยง 

กองทุน Invesco QQQ Trust Series 1 ETF ซึ่งอ้างอิงดัชนี Nasdaq 100 ต้องเผชิญกับภาวะเงินไหลออกสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนในเดือนเมษายน เนื่องจากนักลงทุนถอนเงินออกด้วยอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 2 ปี แต่เมื่อแผนการเก็บภาษีถูกยกเลิก แรงขายก็ลดลง และกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน QQQ ก็กลับมาอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม

2. เป้าดัชนีถูกปรับเปลี่ยนแบบรายวัน

การคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดปีที่ระดับใดไม่เคยเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว แต่ปี 2025 ถือเป็นความท้าทายในอีกระดับหนึ่ง ธนาคารรายใหญ่ ๆ ในวอลล์สตรีทแทบทุกธนาคารตอบรับโครงการภาษีนำเข้าของทรัมป์โดยปรับลดเป้าหมายดัชนี S&P 500 ลงอย่างมาก ก่อนจะรีบปรับเพิ่มเป้าหมายกลับขึ้นไปอีกครั้ง เมื่อมีการผ่อนคลายนโยบายภาษี ความคาดหวังกำไรของบริษัทฟื้นตัว และราคาหุ้นพุ่งแรง 

“เราปรับลดเป้าหมายสิ้นปีลง เพราะเราทราบว่า ในอดีตที่ ตลาดมักใช้เวลาราว 4 เดือนในการฟื้นตัวจากภาวะปรับฐานกลับสู่จุดคุ้มทุน” แซม สโตวอลล์ (Sam Stovall) หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ CFRA กล่าว

สโตวอลล์บอกว่า ครั้งล่าสุดที่นักกลยุทธ์ตลาดต้องปรับลดประมาณการลงพร้อมกันในวงกว้างแบบนี้ คือ ช่วงเริ่มต้นของการระบาดโควิด-19 ในปี 2020 แต่ปี 2025 มีความท้าทายมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าอย่างรวดเร็ว ทำให้กรอบระยะเวลาที่ตลาดจะเปลี่ยนจากภาวะปรับฐานไปสู่การฟื้นตัวนั้น หดเหลือเพียง 2 เดือน จากปกติที่ใช้เวลาราว 4 เดือน

3. ความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI และหุ้นชิป

ในช่วงต้นปี 2025 ก่อนที่การเปิดตัวแชตบอต ดีปซีก (DeepSeek) จะจุดชนวนความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้น AI และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน นักลงทุนระดับตำนานอย่าง โฮเวิร์ด มาร์กส์ (Howard Marks) ได้ออกมาเตือนว่า เขากำลังจับตาฟองสบู่ AI อยู่ คำเตือนนี้มีความสำคัญและได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะมาร์กสเคยเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่คาดการณ์การแตกสลายของฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 ได้อย่างแม่นยำ 

นับตั้งแต่มาร์กส์เผยแพร่บันทึกของเขาเมื่อวันที่ 7 มกราคม ก็มีนักกลยุทธ์อีกหลายคนออกมาเตือนในทิศทางเดียวกัน หลังจากมูลค่าหุ้นในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นักกลยุทธ์จาก เนด เดวิส รีเสิร์ช (Ned Davis Research) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เข้าข่ายนิยามของ “ฟองสบู่หุ้น” ตามกรอบการศึกษาของนักวิชาการจากวิทยาลัยธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Business School) ในปี 2017

อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้ยังไม่ใช่ฉันทามติ นักกลยุทธ์จาก แบงก์ออฟอเมริกา โกลบอล รีเสิร์ช (BofA Global Research) เขียนในบทวิเคราะห์เมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคมว่า พวกเขายังไม่เห็นสัญญาณของฟองสบู่ AI และมีนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทหลายรายคาดว่า รายได้ของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเติบโตในอัตราเร่งขึ้นทุกปีไปจนถึงปี 2027

4. ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวสูงของตลาด

หุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) สูง 10 อันดับแรกในดัชนี S&P 500 มีสัดส่วนรวมกันเกือบ 40% ของมูลค่าดัชนีทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ และกำลังสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนในเรื่องความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของตลาด 

ดีน เคอร์นัตต์ (Dean Curnutt) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Macro Risk Advisors แสดงความเห็นต่อสภาพการณ์นี้ว่า ตลาดที่มีการกระจุกตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังเผชิญกับ “ความเสี่ยงเชิงสะท้อนกลับ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่ตัวเริ่มมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น เขามองว่าหุ้นเทคโนโลยีในกลุ่ม ‘7 นางฟ้า’ (Magnificent Seven ประกอบด้วย Alphabet, Amazon, Apple, Meta Platforms, Microsoft, Nvidia และ Tesla) อาจเป็น กลุ่มผู้ซื้อแบบหมุนเวียน ที่ใช้เงินสดลงทุนและทำดีลไขว้กันไปมา ส่งผลให้มูลค่าตลาดของหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

“ดัชนี S&P 500 ในฐานะดัชนีอ้างอิง ทำหน้าที่ได้แย่มากในการให้ความหลากหลายของการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง นี่คือดัชนีที่มีความเอนเอียงไปที่หุ้นขนาดใหญ่อย่างสุดโต่ง” เคอร์นัตต์กล่าว 

5. ความท้าทายอย่างหนักของกองทุนเชิงรุก

ราว 45% ของผลตอบแทนทั้งหมดของดัชนี S&P 500 ในปี 2025 มาจากหุ้น Magnificent Seven เพียงกลุ่มเดียว แม้นักลงทุนที่ถือกองทุน ETF แบบอิงดัชนีจะได้รับประโยชน์เต็มที่ แต่ผู้จัดการกองทุนเชิงรุกที่คัดเลือกหุ้นและสร้างพอร์ตที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง กลับเผชิญความยากลำบาก

ข้อมูลจาก BofA Global Research ระบุว่า ในปี 2025 นี้ มีกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งบริหารเชิงรุกเพียง 22% เท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า S&P 500 ซึ่งนี่เป็นสัดส่วนต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวซึ่งอยู่ที่ราว 40% 

ซีพอร์ต รีเสิร์ช พาร์ตเนอร์ส (Seaport Research Partners) กล่าวเมื่อเดือนตุลาคมว่า ผู้จัดการกองทุนได้เทขายหุ้นเทคโนโลยีจนมีน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดผลการดำเนินงานของกองทุนเชิงรุก

อย่างไรก็ตาม สตีเวน เดอแซงติส (Steven DeSanctis) นักวิเคราะห์จาก Jefferies กล่าวว่า แนวโน้มดังกล่าวอาจเปลี่ยนไปในปีหน้า เมื่อการปรับขึ้นของตลาดกระจายตัวกว้างขึ้น ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกันกับที่ โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ระบุว่า นักคัดเลือกหุ้นอาจกลับมามีความสุขในปี 2026 เมื่อหุ้นแต่ละตัวเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระจากกันมากขึ้น ขณะที่นักกลยุทธ์ของ เจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase) มองว่า นักลงทุนกำลังก้าวเข้าสู่ยุคทองของการเลือกหุ้นที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต 

6. หุ้นสหรัฐฯทำผลงานต่ำกว่าหุ้นโลก

แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะฟื้นตัวอย่างร้อนแรงจากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน แต่ก็ยังทำผลงานได้แย่กว่าตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกและดัชนี MSCI World Ex-US เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 เมื่อเทียบในภาวะตลาดขาขึ้น

ดัชนีหุ้นของแคนาดา สหราชอาณาจักร เยอรมนี สเปน อิตาลี ญี่ปุ่น และฮ่องกง ต่างให้ผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ นักกลยุทธ์มองว่า นี่เป็นบทลงโทษที่สหรัฐฯ ก่อขึ้นเองโดยความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบาย 

“ผมคิดว่าสิ่งที่ช่วยหนุนตลาดต่างประเทศคือความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ” สโตวอลล์จาก CFRA กล่าว 

แชร์
6 ปรากฏการณ์ในปี 2025 สะท้อนภาพปีที่ผันผวนสุดขั้วของตลาดหุ้นสหรัฐฯ