รายได้จากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงถึง 8.72 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2.83 ล้านล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 (มกราคม-มิถุนายน) ตามข้อมูลจากรัฐบาลกลาง ซึ่งตัวเลขในระดับนี้อาจกลายเป็นข้อจำกัดเชิงการเมืองต่อความพยายามในการลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้า แม้จะมีการเปลี่ยนผู้นำประเทศในอนาคตก็ตาม
นับตั้งแต่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเรียกเก็บ “ภาษีต่างตอบแทน” (reciprocal tariffs) เมื่อเดือนเมษายน รายได้จากภาษีได้เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงการคลังระบุว่า ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีได้สูงถึง 2.66 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือมากกว่าปกติถึง 4 เท่า
เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน ภาษีในอัตราคงที่ 10% ภายใต้กรอบ "ต่างตอบแทน" ทำรายได้ไปแล้วกว่า 1.77 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาษีเฉพาะกลุ่มสินค้ารถยนต์ทำรายได้กว่า 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามการวิเคราะห์ของหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน Budget Lab แห่งมหาวิทยาลัยเยล ประเมินว่า อัตราภาษีเฉลี่ยโดยรวมของสหรัฐฯ อยู่ที่ 20.6% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1910 และสัดส่วนของมูลค่านำเข้าที่ต้องเสียภาษีก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
มาตรการ “ภาษีต่างตอบแทน” ชุดใหม่ที่มีกำหนดเริ่มใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ มีแนวโน้มจะผลักดันรายได้จากภาษีให้สูงขึ้นอีก โดยแม้ฝ่ายบริหารของทรัมป์จะอ้างว่าใช้ภาษีเพื่อความ “เท่าเทียม” ในทางปฏิบัติแล้ว หลายฝ่ายมองว่า สหรัฐฯ ใช้การเจรจาภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ข้อตกลงกับเวียดนามและอินโดนีเซียที่ประกาศในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีไว้ที่ประมาณ 20% ในขณะที่อีกฝ่ายยอมลดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0%
สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) คาดว่า ภาษีเพิ่มเติมเหล่านี้จะช่วยลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางรวมได้ถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปีงบประมาณ 2025-2035 คิดเป็นประมาณ 4% ของรายได้จากภาษีและแหล่งอื่น ๆ รวมกันที่คาดว่าจะอยู่ที่ 67.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2026-2035
ธนาคารโลกระบุว่า ในปี 2023 ภาษีนำเข้าคิดเป็น 2.8% ของรายได้ภาษีรวมของสหรัฐฯ เทียบกับ 0.7% ของสหราชอาณาจักร 0.006% ของฝรั่งเศส และ 2.7% ของจีน โดยในกลุ่ม 35 ประเทศที่มีรายได้ภาษีจากภาษีนำเข้าเกิน 5% ของรายได้ภาษีรวม ไม่มีประเทศพัฒนาแล้วรวมอยู่เลย
สิ่งที่น่ากังวลคือ ภาษีนำเข้าอาจกลายเป็นแหล่งรายได้ประจำ ทำให้การยกเลิกหรือลดภาษีทำได้ยากขึ้น สำหรับช่วงปี 2026-2035 CBO คาดการณ์รายได้จากภาษีรายได้ส่วนบุคคลไว้ที่ 36.8 ล้านล้านดอลลาร์ ภาษีประกันสังคม 22 ล้านล้านดอลลาร์ และภาษีนิติบุคคล 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ หากมีการยกเลิกภาษี 2.8 ล้านล้านดอลลาร์จากมาตรการใหม่เหล่านี้ จะส่งผลกระทบเชิงงบประมาณพอ ๆ กับการลดภาษีนิติบุคคลลงถึงสองในสาม
ภาษีเพิ่มเติมที่เรียกเก็บจากสินค้าจีนตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งอ้างเหตุผลจากการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท แม้ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยเสนอแนวคิดยกเลิกภาษีดังกล่าวในช่วงแรก แต่สุดท้ายกลับเลือกคงไว้ และเรียกร้องให้จีนยุติพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงผลักดันการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโดยคำนึงถึงความมั่นคงแห่งชาติ
ต่อมา รัฐบาลไบเดนยังขยายการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้ายุทธศาสตร์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เหล็ก และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งตอกย้ำแนวโน้มที่ว่า ภาษีอาจกลายเป็นทั้งเครื่องมือทางเศรษฐกิจและรายได้ประจำของรัฐไปพร้อมกัน