Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กูรูชี้ไทยหนีไม่พ้นภาษีสูงกว่าเพื่อนบ้าน ส่งออกอิเล็กฯ-ยางล้อเจ็บสุด
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

กูรูชี้ไทยหนีไม่พ้นภาษีสูงกว่าเพื่อนบ้าน ส่งออกอิเล็กฯ-ยางล้อเจ็บสุด

15 ก.ค. 68
16:41 น.
แชร์

การค้าระหว่างประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เมื่อสหรัฐอเมริกาเดินหน้าใช้มาตรการ “Reciprocal Tariffs” กับประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเป้าหมายแรกและถูกสหรัฐฯ ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% ตัวเลขที่สูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน และสูงกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามและจีนอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ล่าสุดทำเนียบขาวจะเลื่อนเส้นตายบังคับใช้ภาษีเป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2025 เพื่อเปิดทางให้ประเทศคู่ค้าเจรจาและยื่นข้อเสนอใหม่ แต่สารจากวอชิงตันก็ชัดเจน หากข้อเสนอไม่เป็นที่น่าพอใจ อัตราภาษีสูงสุดจะถูกบังคับใช้โดยไม่มีข้อยกเว้น

ขณะที่เวียดนามสามารถเร่งเครื่องเจรจาและลดภาษีได้สำเร็จ ไทยยังคงถูกคงอัตราภาษีเดิม แม้ได้ยื่นข้อเสนอใหม่แล้วก็ตาม คำถามสำคัญคือ ไทยกำลังช้าเกินไปหรือไม่? และการเจรจาในช่วงโค้งสุดท้ายนี้จะช่วยพลิกสถานการณ์ได้แค่ไหน?

บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านลงลึกทุกแง่มุมของเกมภาษีครั้งนี้ จากกลยุทธ์เจรจาของทีมไทย ผลกระทบต่อการส่งออก อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง การเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯ จนถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง พร้อมชำแหละทางเลือกเชิงนโยบายของรัฐที่อาจกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยทั้งในปี 2025 และหลังจากนั้น

ความคืบหน้า US Reciprocal Tariffs หลังเส้นตายใหม่เลื่อนเป็น 1 ส.ค. 

ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มทยอยส่งหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการถึงประเทศคู่ค้ารวม 23 ประเทศ เพื่อประกาศการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ตามอัตราล่าสุด พร้อมทั้งเลื่อนกำหนดวันเริ่มบังคับใช้จากเดิมวันที่ 9 กรกฎาคม เป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ครอบคลุมทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยในรอบแรก สหรัฐฯ ส่งหนังสือถึง 14 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ 36% ตามที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน

SCB EIC วิเคราะห์ว่า กลุ่มประเทศที่ได้รับหนังสือฉบับแรกส่วนใหญ่เป็นคู่ค้ารายสำคัญของสหรัฐฯ และมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ในระดับสูง จึงอาจสะท้อนถึงเจตนาของสหรัฐฯ ที่ต้องการใช้แรงกดดันผ่านภาษี เพื่อเร่งให้การเจรจาที่ยืดเยื้อมานานสามารถสรุปผลได้ในทิศทางที่เอื้อต่อสหรัฐฯ มากขึ้น

หนังสือที่ส่งถึงแต่ละประเทศมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่ระบุชัดว่า สหรัฐฯ พร้อมพิจารณาลดอัตราภาษีตอบโต้ หากแต่ละประเทศยื่นข้อเสนอใหม่ที่ “ดีกว่า” ภายในเส้นตายใหม่วันที่ 1 สิงหาคม ดังนั้น ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของเดือนกรกฎาคม อัตราภาษีขั้นต่ำ (Universal Tariffs) ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศที่ได้รับหนังสือทั้ง 14 ประเทศ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่อาจได้รับการแจ้งในลำดับถัดไป จะยังคงอยู่ที่ระดับ 10% เท่ากันทุกประเทศจนกว่าจะมีข้อสรุปในการเจรจา

ในมุมมองของ SCB EIC การที่สหรัฐฯ คงอัตราภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าจากประเทศไทยไว้ที่ 36% ขณะที่ลดอัตราภาษีให้กับบางประเทศคู่แข่งของไทยในภูมิภาค ถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวล โดย SCB EIC ได้ตั้งข้อสังเกตใน 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

  1. ไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและระดับโลก: อัตราภาษีตอบโต้ที่ไทยถูกจัดเก็บ 36% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียน (28% หากไม่รวมไทย), ค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย (19%) และค่าเฉลี่ยของประเทศคู่ค้าในระดับโลก (16%) ซึ่งสะท้อนว่าไทยอาจกำลังเสียเปรียบในการเจรจาเชิงโครงสร้างกับสหรัฐฯ มากกว่าประเทศอื่น ๆ
  2. ไทยมีพัฒนาการในการเจรจาช้ากว่าคู่แข่งในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม: ในขณะที่หลายประเทศในอาเซียนเร่งเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้อัตราภาษีที่เอื้อต่อการแข่งขัน เวียดนามสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสามารถลดอัตราภาษีจากเดิม 46% เหลือเพียง 20% สำหรับสินค้าที่ผลิตในเวียดนาม และ 40% สำหรับสินค้าที่สวมสิทธิการส่งออก (Transshipped goods) แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการเชิงรุกและประสิทธิภาพในการต่อรอง
  3. ความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ: หากไทยยังคงถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36% สินค้าไทยจะมีต้นทุนราคาที่สูงกว่าคู่แข่งสำคัญ เช่น สินค้าจีน (30%) และสินค้าเวียดนาม (20%) ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าประเทศในอาเซียนหลายแห่งที่ยังไม่ได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ กำลังเร่งเจรจาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถต่อรองลดภาษีลงมาในระดับที่ไม่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับจีนหรือเวียดนาม

ผลกระทบต่อสินค้าส่งออก กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กระทบหนัก

มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่กำหนดอัตราภาษีสูงถึง 36% สำหรับสินค้าส่งออกจากไทย กำลังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางล้อ และอาหารทะเลแปรรูป ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงและเคยครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ในระดับที่แข็งแกร่ง

SCB EIC ประเมินว่า หากไทยไม่สามารถเจรจาลดอัตราภาษีกับสหรัฐฯ ลงมาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยจะอ่อนแอลงต่อเนื่อง

สาเหตุสำคัญคือภาระต้นทุนทางการค้าที่สูงกว่าคู่แข่ง ทำให้ราคาสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับผู้ผลิตจากมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน และเม็กซิโก ขณะที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้ HS Code 84 และ 85 ก็จะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งโดนภาษีเพียง 25% เทียบกับ 36% ของไทย

ในกลุ่มสินค้ายางล้อ ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากความตกลง USMCA ซึ่งเปิดโอกาสให้เม็กซิโกและแคนาดาสามารถส่งออกสินค้ากลุ่มนี้เข้าสหรัฐฯ โดยได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้ไทยอาจเสียเปรียบในฐานะคู่ค้าอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหารทะเลแปรรูป โดยเฉพาะทูน่ากระป๋อง แม้ไทยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดมากเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ความแตกต่างด้านภาษีกับเวียดนาม ซึ่งได้รับอัตราที่ต่ำกว่ามาก อาจทำให้ไทยสูญเสียแต้มต่อด้านราคาในระยะกลางถึงยาว

อย่างไรก็ตาม การประเมินผลกระทบต้องพิจารณาควบคู่กับศักยภาพเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมไทยในบางกลุ่มที่ยังมีข้อได้เปรียบชัดเจน เช่น กลุ่มยางล้อที่ไทยมีความสามารถด้านการจัดหาและผลิตวัตถุดิบภายในประเทศอย่างครบวงจร โดยเฉพาะยางธรรมชาติ รวมถึงห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง ขณะที่ในกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ไทยยังเป็นฐานการผลิตระดับโลก มีระบบโลจิสติกส์และแรงงานฝีมือที่สนับสนุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

อีกประเด็นที่ควรจับตาคือ ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการเพิ่มเติมต่อสินค้าที่เข้าข่าย “สวมสิทธิ” หรือมีสัดส่วนการนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบสูง เช่นเดียวกับกรณีของเวียดนามที่แม้จะได้อัตราภาษีทั่วไปเพียง 20% แต่สินค้าที่สหรัฐฯ มองว่าเข้าข่ายสวมสิทธิกลับถูกเรียกเก็บสูงถึง 40% 

SCB EIC ประเมินว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะใช้แนวทางเดียวกันกับประเทศอื่น รวมถึงไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่อแหล่งกำเนิดสินค้า เช่น แผงวงจรไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แผงโซลาร์เซลล์ ยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ในบางกรณี สหรัฐฯ อาจเลือกใช้มาตรการภาษีแบบเฉพาะสินค้า (Specific Tariffs) ซึ่งไม่ขึ้นกับมูลค่ารวมของสินค้า แต่คิดจากส่วนประกอบที่ใช้ผลิต เช่น ตู้เย็นบางประเภทที่ถูกเรียกเก็บ 50% ของมูลค่าเหล็ก หรือยางล้อบางรุ่นที่คิดภาษี 25% ของราคาสินค้า วิธีการจัดเก็บลักษณะนี้จะเพิ่มความยุ่งยากในการคำนวณต้นทุนของผู้ผลิต และอาจส่งผลกระทบต่อการวางแผนลงทุนของอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในอนาคต

ผลกระทบจากการถูกกดดันให้เปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ  

ความคืบหน้าของผลการเจรจาไทยกับสหรัฐฯ เป็นประเด็นที่ต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงข้างหน้า หากไทยเจรจาสำเร็จอาจนำไปสู่การผ่อนปรนมาตรการทางภาษีและช่วยลดภาระต้นทุนของผู้ส่งออกไทย อย่างไรก็ดี ยังต้องพิจารณาผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในบางอุตสาหกรรม หากไทยถูกกดดันให้เปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์

ตลาดสินค้ากลุ่มปศุสัตว์และวัตถุดิบอาหารสัตว์จัดว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจไทยที่มีความอ่อนไหวต่อการเจรจากับสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่า ได้รับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากไทย ทั้งจากกำแพงภาษีสูงและข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) ด้านต่าง ๆ เช่น เนื้อสุกร ซึ่งไทยกำหนดภาษีนำเข้าไว้ 40% และถูกแบนการนำเข้าจากไทยในประเด็นการใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้พยายามผลักดันและกดดันให้ไทยเปิดตลาดสินค้านี้มาโดยตลอด 

ตัวอย่างเช่น ในปี 2020 ช่วงประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรกได้ประกาศระงับสิทธิพิเศษทางการค้าสำหรับสินค้าไทย 232 รายการภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ "GSP" เนื่องจากไทยไม่ยอมเปิดตลาดเนื้อหมูและเครื่องในให้สหรัฐฯ ดังนั้น การตอบสนองต่อข้อเรียกร้องเดิมเหล่านี้อาจกลายมาเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สหรัฐฯ ใช้แลกเปลี่ยนกับการพิจารณาปรับลดอัตราภาษีตอบโต้ของไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยในวงกว้างได้

จากการประเมินของ SCB EIC พบว่าอุตสาหกรรมสุกร ไก่เนื้อ และข้าวโพดของไทยมีความอ่อนไหวสูง หากภาครัฐจำเป็นต้องเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไข (กรณีแย่สุด) เนื่องจากต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ประกอบกับโดยปกติแล้วไทยใช้ผลผลิตภายในประเทศเป็นหลักและมีผู้ผลิตที่เป็นเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก 

ตัวอย่างเช่น ในปี 2024 ต้นทุนการเลี้ยงสุกรและไก่ในไทยสูงกว่าต้นทุนในสหรัฐฯ (รวมค่าขนส่งมาไทย) ค่อนข้างมากถึงราว 27% หรือต้นทุนผลิตข้าวโพดของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ราว 9% ทั้งนี้ในปี 2024 ไทยนำเข้าข้าวโพดเพียง 22% ของการบริโภคในประเทศเท่านั้น และไม่ได้นำเข้าเนื้อสุกรและไก่เลย 

ดังนั้น หากรัฐบาลยอมเปิดตลาดกลุ่มสินค้าเหล่านี้เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีตอบโต้ลง ผู้ผลิตในประเทศและผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตจะได้รับผลกระทบในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ที่มีต้นทุนสูงและเป็นผู้ผลิตส่วนใหญ่ในไทย เนื่องจากต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า 

กล่าวคือ การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ จะทำให้ราคาสินค้าในประเทศปรับลดลงจากปริมาณการนำเข้าสินค้าราคาถูกที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคาสุกรและข้าวโพดอาจปรับลดลงจากปริมาณการนำเข้าเนื้อสุกรและข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่จะได้อานิสงส์จากราคาสินค้าและต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง แต่ในทางกลับกัน ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารและวัตถุดิบสำหรับไทย เนื่องจากต้องพึ่งพาสินค้านำเข้าจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น 

ยิ่งไปกว่านั้น ราคาที่ลดลงอาจจะทำให้รายได้เกษตรกรโดยรวมปรับลดลงและจะกดดันให้เกษตรกรที่ผลิตด้วยต้นทุนสูงอยู่แล้วต้องหยุดผลิตเพราะแข่งขันไม่ได้ และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังรายได้ของผู้ผลิตอาหารปศุสัตว์และเกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบ จากความต้องการใช้อาหารปศุสัตว์ในประเทศที่ลดลง  

สำหรับกลุ่มเนื้อวัวเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหวในระดับปานกลาง เนื่องจากแม้ต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันไทยมีการนำเข้าเนื้อวัวและเครื่องในจากต่างประเทศอยู่แล้ว จากการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับคู่ค้าอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งหากไทยต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพิ่มเติม ก็จะทำให้กลุ่มผู้ผลิตในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในบางกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะเนื้อวัวเกรดพรีเมียม

ในทางกลับกัน กลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวต่ำ เช่น ถั่วเหลือง, ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์นม เป็นสินค้าที่ในปัจจุบันไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าค่อนข้างมากอยู่แล้ว จึงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างต่ำและในวงจำกัด

ในระยะสั้น ภาครัฐควรประเมินผลดีและผลเสียของการเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ ให้ถี่ถ้วนรอบด้าน โดยการเจรจาเพื่อขอลดภาษีต้องคำนึงถึงความสมดุลเป็นหลัก ทั้งประโยชน์ที่ได้จากภาษีที่ขอลดลงและผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่จะได้รับจากสินค้าภายนอกประเทศที่เข้ามาแข่งขันได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเปิดตลาดสินค้าในประเทศ อาจพิจารณาเปิดตลาดสินค้าบางรายการแบบมีเงื่อนไข โดยไม่ใช่การเปิดตลาดแบบเสรี พร้อมเตรียมเยียวยาผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งรวมถึงการให้สภาพคล่องระยะสั้นและการหาตลาดใหม่ ผ่านวงเงินภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาทที่ยังเหลืออยู่

ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า หากจำเป็นรัฐบาลอาจพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้บ้างผ่าน (1) งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นส่วนหนึ่งมาใช้เพื่อรับมือผลกระทบ (2) ปรับปรุงงบประมาณฯ ปี 2569 บางส่วนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ หรือในกรณีฉุกเฉินจำเป็นมากอาจ (3) ออก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อรับมือกับวิกฤติเช่นเดียวกันกับในช่วงวิกฤติโควิด แต่แนวทางนี้อาจสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มหนี้สาธารณะได้

ในระยะยาว ภาครัฐควรเร่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ อาทิ ส่งเสริมมาตรฐานฟาร์มและโรงงาน การปรับกระบวนการผลิตที่ตอบโจทย์เทรนด์ ESG หรือการลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัยเข้ามาช่วย ทั้งนี้ไทยควรกำหนด "Red Line" ที่ชัดเจนสำหรับกลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวสูงเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารของประเทศในระยะยาว

SCB EIC มองไทยได้ภาษีสูงกว่าคู่แข่งหลังเจรจา

ในระยะข้างหน้า แม้ SCB EIC ประเมินว่า ประเทศไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐฯ ขอปรับลดอัตราภาษีตอบโต้นี้ลงได้บ้าง แต่อัตราภาษีจะยังสูงกว่าคู่แข่งสำคัญในอาเซียน-5 ได้แก่ เวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เนื่องจาก 2 สาเหตุหลัก คือ

  1. ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ไทยสูงกว่าอาเซียน-5 โดยเปรียบเทียบ (Relative positioning)

โดยไทยโดนอัตราภาษีตอบโต้ที่ 36% ขณะที่อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์โดนอัตราภาษีที่ 32%, 25%, 20%, 20% และ 10% ตามลำดับ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในอัตราต่ำกว่าไทยเป็นทุนเดิม ค่าเฉลี่ยอัตราภาษีตอบโต้กลุ่มประเทศอาเซียน-5 ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 21% เท่านั้น

นอกจากนี้ ประเทศเหล่านี้อาจพยายามจะขอเจรจาลดภาษีลงได้อีกในช่วงเวลาที่เหลือ ยิ่งจะทำให้อัตราต่ำลงกว่าไทย ยกเว้นแต่ว่าข้อเสนอของไทยจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากกว่ามาก จนได้รับพิจารณาปรับลดเหลืออัตราต่ำลงมากจากอัตราปัจจุบัน

  1. การเข้าถึงตลาดและการเปิดการลงทุนที่เอื้อประโยชน์สหรัฐฯ

เพื่อแลกกับภาษี 20% เวียดนามยอมเปิดตลาดทั้งหมดให้สหรัฐฯ โดยเสรี และลดภาษีนำเข้าเหลืออัตราศูนย์ ขณะที่ไทยแม้จะยื่นข้อเสนอใหม่ยอมเปิดตลาดสินค้าหลายรายการมากขึ้น แต่ยังต้องการปกป้องสินค้าบางรายการที่อาจกระทบผู้ผลิตภายในประเทศอยู่

สำหรับการจูงใจการลงทุนจากสหรัฐฯ ประเทศอาเซียน-5 เสนอเปิดตลาดให้การลงทุนจากสหรัฐฯ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของเวียดนามอนุญาตให้บริษัท Starlink ของสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนบริการอินเทอร์เน็ต อินโดนีเซียอนุญาตการเข้าร่วมทุนจากสหรัฐฯ ในกลุ่มแร่ธาตุหายาก ซึ่งช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีนได้ในอนาคต ขณะที่ไทยยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนเปิดการลงทุนอุตสาหกรรมสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ในเชิงยุทธศาสตร์

สำหรับเศรษฐกิจไทยในภาพรวม SCB EIC มองว่า อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่อาจเก็บไทยสูงกว่าคู่แข่งจะเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านองค์ประกอบหลัก คือ

  1. การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มแผ่วลงในครึ่งปีหลัง โดยอาจเริ่มเห็นมูลค่าการส่งออกพลิกกลับมาหดตัวในช่วงท้ายไตรมาส 3 และหดตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ทั้งจากผลของการเร่งนำเข้าสินค้าในช่วงก่อนหน้าที่อัตราภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้หมดไป ตลอดจนผลจากอัตราภาษีตอบโต้ของไทยเองที่สูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งจะทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนาม ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าสินค้าเวียดนามจะเสียภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่าไทย 
  1. การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง จากการชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่มีแผนจะลงทุนในไทยเพื่อรอความชัดเจนของผลการเจรจาการค้าเทียบคู่แข่งสำคัญ เช่น เวียดนามที่สามารถเจรจาให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีลงได้มากก่อนหน้าแล้ว นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราว ลดอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บสินค้าจีนลงจากอัตราเกิน 100% เช่นก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ กำลังซื้อในประเทศที่จะชะลอลงอีกจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันการลงทุนภาคเอกชนในครึ่งปีหลังในระยะต่อไป ความสามารถและระยะเวลาปิดจบดีลเจรจาการค้าของไทยกับสหรัฐฯ จะเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสามารถในการแข่งขันของไทย เพราะการเจรจาสำเร็จได้เร็วจะเป็นสิ่งที่เรียกความเชื่อมั่นจากทั้งนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนไทยได้ สะท้อนถึงประสิทธิภาพของภาครัฐ รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และไทย ซึ่งจะช่วยให้เกิดการลงทุนในไทยต่อเนื่องในระยะยาว
  1. การบริโภคภาคเอกชนจะแผ่วลงต่อเนื่อง แต่จะชะลอลงแรงขึ้นในช่วงสิ้นปีที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แรงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การจ้างงานที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการใช้จ่ายในประเทศที่จะซบเซาลงตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว

สำหรับมุมมองนโยบายการเงิน SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอีก 0.25% ในเดือน ส.ค. และอีก 1 ครั้งในไตรมาส 4 เหลือ 1.25% ภายในสิ้นปี แม้ กนง. มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 2% ไม่มาก แต่เหตุผลที่ กนง. ประเมินเช่นนี้ เพราะมองเศรษฐกิจครึ่งปีแรกจะขยายตัวได้ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เป็นหลัก 

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง กนง. มอง Momentum จะปรับแย่ลง (ใกล้เคียง 0%QOQsa) โดยพัฒนาการใหม่ของอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ นี้อาจทำให้ กนง. ต้องปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังลงอีก เนื่องจาก กนง. ประเมินว่าไทยจะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพียง 18% เท่านั้น 

SCB EIC จึงประเมินว่า มีโอกาสมากขึ้นที่จะเห็น กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้งในปีนี้เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าที่จะแย่ลงกว่าที่ กนง. เคยประเมินไว้ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำที่สูงขึ้นอีก หากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ ไทยถูกสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีในอัตรา 36% เท่าเดิมอยู่ ซึ่งในกรณีนี้อาจเห็น กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้


แชร์
กูรูชี้ไทยหนีไม่พ้นภาษีสูงกว่าเพื่อนบ้าน ส่งออกอิเล็กฯ-ยางล้อเจ็บสุด