
รัฐบาลย้ำเตือนผู้ได้รับสิทธิ “คนละครึ่งพลัส” เฟส 1 ที่ยังใช้วงเงินไม่ครบกว่า 14 ล้านคน เร่งใช้จ่ายผ่านโครงการให้หมดภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ก่อนระบบตัดวงเงินคงเหลือคืนโดยอัตโนมัติเมื่อสิ้นสุดโครงการ พร้อมชี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายที่ประชาชนสามารถใช้สิทธิให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยพยุงการจับจ่ายช่วงปลายปี
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเดินหน้ามาตรการยกระดับผู้ประกอบการ โดยเชิญชวนร้านค้าที่เข้าร่วมผ่านแอป “ถุงเงิน” เร่งดำเนินการพัฒนาทักษะให้สำเร็จภายในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการเงินและดิจิทัล และเปิดทางรับเงินสนับสนุนตามเงื่อนไขของโครงการ
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภาพรวมการใช้จ่ายของโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1 ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลขอแจ้งเตือนผู้มีสิทธิที่ยังใช้จ่ายไม่ครบกว่า 14 ล้านคน ให้เร่งใช้จ่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ เนื่องจากเมื่อโครงการสิ้นสุด ระบบจะตัดวงเงินสิทธิที่เหลือทั้งหมดคืนโดยอัตโนมัติ
รัฐบาลประเมินว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่เป็นจังหวะสำคัญของการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ โดยคาดหวังให้การใช้สิทธิในช่วงปลายปีช่วยหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจ และเพิ่มรายได้ให้ร้านค้าที่อยู่ในเครือข่ายโครงการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนที่เป็นฐานสำคัญของการจับจ่าย
ส่วนการพัฒนาผู้ประกอบการ กระทรวงการคลังรายงานว่า ปัจจุบันมีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ผ่านกระบวนการอัพสกิลและรีสกิลแล้วรวม 93,881 ราย สะท้อนการตอบรับของผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ โดยคลังย้ำว่าการเปิดให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ เข้ารับการพัฒนาทักษะจะมีถึงวันที่ 19 ธ.ค.นี้เท่านั้น หากพ้นกำหนดดังกล่าวจะไม่สามารถเข้าร่วมเงื่อนไขการสนับสนุนเพิ่มเติมได้
รัฐบาลจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้าในโครงการคนละครึ่งพลัสเร่งเข้าร่วมพัฒนาทักษะ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ การเงิน และการปรับตัวสู่ระบบดิจิทัล โดยร้านค้าที่ผ่านหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพัฒนาทักษะจำนวนไม่เกิน 400,000 รายแรก จะได้รับสิทธิเงินสนับสนุนจากภาครัฐในอัตรา 20% ของยอดขายที่เกิดจากโครงการคนละครึ่งพลัส เฉพาะในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่าย นับตั้งแต่วันที่ร้านค้าดำเนินการพัฒนาทักษะสำเร็จไปจนถึงวันที่ 19 ธ.ค. 2568 คิดเป็นวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อราย เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ร้านค้าปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบมากขึ้น
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสยังสามารถเลือกเข้าร่วมการพัฒนาทักษะด้านการเงินและด้านดิจิทัลผ่าน 3 ช่องทางหลัก
โดยช่องทางแรกคือ การสมัครเป็นร้านค้าบนแพลตฟอร์มผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) สำหรับร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการฯ ซึ่งต้องสมัครเป็นร้านค้ากับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง ได้แก่ Grab, Lineman, Robinhood หรือ ShopeeFood ในช่วงระหว่างวันที่ 19 พ.ย. 2568 ถึง 19 ธ.ค. 2568 และต้องไม่เคยสมัครเป็นร้านค้ากับแพลตฟอร์มรายนั้นมาก่อน เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าจะต้องเชื่อมต่อร้านของตนกับแพลตฟอร์มผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และมีธุรกรรมซื้อขายอาหารหรือเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่งพลัสผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวอย่างน้อย 5 รายการ โดยต้องไม่มีการยกเลิกคำสั่งซื้อ
ช่องทางที่สอง คือ การเข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การอบรมออนไลน์ของธนาคารออมสิน โดยผู้ประกอบการร้านค้าจะต้องสมัครและเรียนหลักสูตรพัฒนาความรู้ทางการเงินผ่านเว็บไซต์ gsb.or.th พร้อมมีผลคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
ส่วนช่องทางที่สาม คือ การเข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การอบรมออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยผู้ประกอบการร้านค้าจะต้องสมัครและเรียนหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งจากทั้งหมด 5 หลักสูตรของ DBD Academy ผ่านเว็บไซต์ dbdacademy.dbd.go.th และต้องมีผลคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนตามเกณฑ์ที่กำหนดเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะประกาศผลรายชื่อผู้ได้รับสิทธิในวันที่ 23 ธ.ค. 2568 โดยร้านค้าที่เข้าร่วมพัฒนาทักษะจะทราบผลผ่านข้อความแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และทางข้อความสั้น (SMS) ก่อนที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการโอนเงินสนับสนุนให้แก่ผู้ได้รับสิทธิในวันที่ 25 ธ.ค. 2568
สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถตรวจสอบรายละเอียดโครงการและข้อมูลข่าวสารได้ทางเว็บไซต์ www.คนละครึ่งพลัส.com
หรือสอบถามข้อมูลกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 08-5842-7102 ถึง 08-5842-7109 ในวันจันทร์ถึงศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ขณะที่ข้อมูลหลักสูตรของธนาคารออมสินสามารถสอบถามได้ที่โทร. 1115 กด 7 ตลอด 24 ชั่วโมง และข้อมูลหลักสูตรของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สอบถามได้ที่โทร. 1570 ในวันและเวลาราชการ