
การยื่นเอกสารกับ “ต่างประเทศ” ไม่ว่าจะเพื่อทำธุรกิจ ไปเรียนต่อ ทำงานต่างประเทศ หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ บางครั้งใช้เวลาที่ยาวนาน หลายขั้นตอน และมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ขั้นตอนเหล่านั้นอาจลดความซับซ้อนทั้งขั้นตอนและระยะเวลาลง เพราะประเทศไทยกำลังจะเข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญาอะโพสทิล ซึ่งหมายความว่าเราสามารถยื่นเอกสาร (มหาชน) ผ่านหน่วยงานเดียวได้เลย
“การเข้าเป็นภาคีจะช่วยอำนวยความสะดวกต่อประชาชนและภาคธุรกิจ เนื่องจากเป็นการลดขั้นตอนระยะเวลานิติกรณ์แบบห่วงโซ่ […] ปัจจุบันมี 3 ขั้นตอน ก็จะเหลือขั้นตอนเดียว ลดค่าใช้จ่ายและเวลาเป็นอย่างมาก” นายบัญชา ยืนยงจงเจริญ รองอธิบดีกรมการกงสุลกล่าวที่งานสัมมนา “ประโยชน์และผลกระทบจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาอะโพสทิล (Apostille) ของประเทศไทยต่อภาคธุรกิจและประชาสังคม” ครั้งที่ 4 จัดขึ้นวันที่ 17 ธันวาคม 2568 โดยกองสัญชาติและนิติกร กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
รองอธิบดีกล่าวต่อว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาอะโพสทิล และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำภาคยานุวัติสารสำหรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว เพื่อยื่นต่อกระทรวงการต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะผู้เก็บรักษา
“อันนี้เป็นข่าวดีจริง ๆ นะครับ เพราะลุ้นกันมาตลอดว่าจะทำทันไหม ก่อนจะยุบสภาและเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งก็เสร็จในวันสุดท้ายพอดี” รองอธิบดีกรมการกงสุลกล่าว
คุณอุทุมพร อำไพวิทย์ หัวหน้าฝ่ายนิติกรณ์เอกสารกองสัญชาติและนิติกรณ์อธิบายว่า Apostille หรือ อะโพสทิล เป็นอนุสัญญาระหว่างประเทศภายใต้กรอบที่ประชุมกรุงเฮก ว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (HCCH) มีเป้าหมายยกเลิกข้อกำหนดอันซับซ้อนของการเดินเอกสารรูปแบบห่วงโซ่ (Chain Legalisation) ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการจะดำเนินการแต่ละครั้งต้องผ่านทั้ง สอท./สกญ./กต. แต่การเป็นสมาชิกอนุสัญญาฉบับนี้จะทำให้การรับรองทำผ่านหน่วยงานผู้มีอำนาจเพียงหน่วยงานเดียว ในที่นี้คือ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ
กรมการกงสุลในฐานะผู้มีอำนาจรับผิดชอบมีอำนาจดังนี้
อย่างไรก็ตาม อะโพสทิลคือ การรับรองแทนหน้วยงานรัฐบาลรับรองเพียงเอกสารมหาชนเท่านั้น ไม่มีขอบเขตรวมถึงเอกสารจากเอกชน ซึ่งเอกสารมหาชนมีขอบเขตหมายถึง
ขอบเขตของเอกสารมหาชนขึ้นอยู่กับประเทศภาคีต้นทางที่ออกเอกสาร ซึ่งแต่ละประเทศอาจต่างกันไป และไม่ว่าเอกสารมหาชนตามนิยมของประเทศต้นทาง จะเป็นมหาชนด้วยตามนิยามของประเทศปลายทางด้วยหรือไม่ ผลของอะโพสทิลก็จะยังสมบูรณ์
และการออกเอกสารอะโพสทิลเป็นการรับรองความถูกต้องแท้จริงของ “ลายมือชื่อ” ไม่รวมถึงคำแปล อนุสัญญาอะโพสทิลจึงใช้ได้กับเอกสารทั้งหมดที่ผ่านการรับรองโดยกรมการกงสุล ซึ่งรวมแล้วประมาณ 272 รายการ (จาก 62 องค์กรภาครัฐ)
คุณอุทุมพรให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังออกแบบเอกสารอะโพสทิล ที่มีหน้าตาและการออกแบบต่างกันไปในแต่ละประเทศภาคี แต่สิ่งที่เหมือนกันคือข้อมูล 10 ข้อ ดังนี้
ปัจจุบัน มีประเทศภาคีอนุสัญญาอยู่ 127 ประเทศ/ดินแดน (ข้อมูลเดือนกันยายน 2568)
แบบห่วงโซ่ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน:
แบบอะโพสทิล:
คุณอุทุมพรกล่าวว่า กลุ่มที่จะได้ประโยชน์เป็นอย่างมากจากการเข้าเป็นสมาชิกภาคีคือนักเรียนนักศึกษาที่ประสงค์เรียนต่อต่างประเทศ (ใบแสดงผลการเรียน, ประกาศนียบัตรต่างๆ ), ผู้ที่ต้องการทำงานต่างประเทศ (หนังสือรับรอง, ประกาศนียบัตร), ภาคธุรกิจ-ผู้ประกอบการ (Certificate of Origin), Certificate of Free Sale, หรือ หนังสือรับรองบริษัท
“อย่างภาคธุรกิจก็จะทำธุรกิจได้เร็วขึ้น เพราะบริษัทบางแห่งต้องรอเอกสาร บางแห่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าอย่างผลไม้ที่มีระยะเวลาจำกัด ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะต้องรอเอกสาร […] ต่อแต่นี้หลังที่เป็นภาคีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปผ่านหน่วยงานมากมาย” คุณอุทุมพรกล่าว
นอกจากนี้ สำหรับประชาชนทั่วไป เอกสารที่ต้องผ่านการตรวจสอบบ่อยอย่างทะเบียนสมรสก็สามารถผ่านกรมการกงสุลเพียงแห่งเดียว แล้วนำไปใช้งานได้เลย
คุณธีรตา โรจน์รังษี กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศกล่าวถึงประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจไทยที่เรียกการเข้าร่วมอนุสัญญาครั้งนี้ว่า “Big Win” โดยกล่าวถึงนโยบายการทูตเศรษฐกิจของกระทรวงต่างประเทศแบบ “เชิงรุก” 3 ด้านว่ามีความสอดคล้องกับอะโพสทิลดังนี้
แน่นอนว่า อนุสัญญาฉบับนี้ย่อมมีผลกระทบในเชิงลบเช่นกัน คุณอุทุมพรสรุปออกมาเป็น 3 ข้อดังนี้
“แน่นอนมันมีผลกระทบ แต่เมื่อมองผลประโยชน์แล้วมันมีมากกว่า ข้อแรกก็คือ ประชาชนได้รับผลเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมกิจกรรมระหว่างประเทศ ลดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ยกระดับประเทศไทยให้มีมาตรฐานมากขึ้นในเวทีโลก และสนับสนุนภาคธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
คุณมุทุมพรกล่าวว่า ที่ผ่านมาไทยได้เข้าเป็นสมาชิกของ HCCH อยู่แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 และต่อมา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนในด้านนี้ และมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการเข้าเป็นสมาชิกภาคีอนุสัญญาอะโพสทิล ต่อมาปี 2565 กรมการกงสุลได้รับแต่งตั้งเป็นหน่วยงานผู้มีอำนาจ และได้ศึกษาการดูงานในประเทศต่าง ๆ ในหัวข้อนี้
การประชุมคณะอนุกรรมการเดือนสิงหาคมปี 2567 ได้พิจารณาว่า ไทยมีความพร้อมแล้วในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ต่อมากระทรวงการต่างประเทศขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกภาคี และเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมาได้รับมติเห็นชอบ (กล่าวโดยสรุปคือฝ่ายไทยเห็นชอบแล้ว ให้ยื่นเอกสารต่อทางภาคีได้)
ขั้นตอนต่อไปคือการยื่นเอกสารต่อกระทรวงการต่างประเทศเนเธอแลนด์ในฐานะผู้เก็บรักษาอนุสัญญาอะโพสทิล หลังจากยื่นเรียบร้อยแล้ว 6 เดือนหลังจากนั้นจะเป็นกระบวนการ “รับฟังรัฐภาคี” และ 60 วันหลังจากนั้นไทยจึงจะเป็นภาคีอนุสัญญาโดยสมบูรณ์ หรือคร่าว ๆ ราว 8 เดือนหลังยื่นหนังสือให้ฝ่ายเนเธอแลนด์
ในกรณีที่รัฐภาคีใดมีข้อขัดข้องคัดค้านการเข้าเป็นสมาชิกภาคีของไทย ไทยก็จะยังเป็นสมาชิกภาคีอยู่ เพียงแต่อนุสัญญาจะไม่มีผลบังคับใช้ระหว่างไทยและประเทศที่ขัดข้อง
หนึ่งในกระบวนการเตรียมความพร้อมและปรับตัวของหน่วยฝ่ายไทย กรมการกงสุลขอความร่วมมือจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ส่งข้อมูลรายมือชื่อที่เป็นปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวกในการออกใบรับรองอะโพสทิล