
ราคาทองคำปรับตัวขึ้น ทรงตัวเหนือ 4,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ในวันนี้ (7 ธ.ค. 68) หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเสี่ยงชะลออยู่ เปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีเหตุผลมากขึ้นในการเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ปัจจัยดังกล่าวหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ แม้การจ้างงานโดยรวมจะฟื้นตัว สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง โดยมีฉากหลังเป็นความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นักลงทุนจึงหันกลับมาให้น้ำหนักกับทองคำมากขึ้น ขณะเดียวกัน ตลาดพลังงานก็ได้รับแรงกระเพื่อมจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยจำกัดแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยงบางส่วน
ราคาทองคำขยับสูงขึ้นในวันพุธ หลังรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ระบุว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% ในเดือนพฤศจิกายน ตอกย้ำมุมมองของตลาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า แม้ตัวเลขการจ้างงานจะฟื้นตัวก็ตาม โดยนักลงทุนมองว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงานสะท้อนแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย
ตัวเลขแรงงานดังกล่าวดันให้สัญญาทองคำล่วงหน้าปรับขึ้น 0.3% มาอยู่ที่ 4,347.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในตลาดสปอตเพิ่มขึ้น 0.8% อยู่ที่ 4,314.10 ดอลลาร์ ด้านดัชนีดอลลาร์สหรัฐซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสองเดือน ส่งผลให้ทองคำที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์มีต้นทุนถูกลงสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ
ด้านราคาทองคำในประเทศ ณ เวลา 14.44 น. มีการปรับเปลี่ยนราคาแล้วรวม 10 ครั้ง โดยราคาทองคำแท่งรับซื้ออยู่ที่บาทละ 64,250 บาท และขายออกที่บาทละ 64,350 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณรับซื้ออยู่ที่บาทละ 62,959.48 บาท และขายออกที่บาทละ 65,150 บาท สอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก โดยราคาทองคำสปอตเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 4,319.50 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
นักวิเคราะห์ระบุว่า ข้อมูลแรงงานดังกล่าวช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับการคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ยังไม่จบลง โดยบ็อบ ฮาเบอร์คอร์น นักกลยุทธ์ตลาดอาวุโสของ RJO Futures ชี้ว่า หากเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยจริง จะเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อราคาทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ก่อนหน้านี้ เฟดเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ถูกมองว่ามีท่าทีผ่อนคลายกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยนักลงทุนยังคงประเมินว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกสองครั้งในปี 2569
ในช่วงถัดไป ตลาดกำลังจับตาการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายน รวมถึงดัชนีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินทิศทางเงินเฟ้อและสัญญาณนโยบายการเงินของเฟดอย่างใกล้ชิด
ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้มีการปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่อยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดที่เข้าออกเวเนซุเอลา พร้อมประกาศมองผู้นำประเทศดังกล่าวเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ ความเคลื่อนไหวนี้ได้เพิ่มความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ให้กับตลาดน้ำมัน ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกกดดันจากความกังวลเรื่องอุปสงค์ที่อ่อนแอ
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้น 1.3% มาอยู่ที่ 59.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) เพิ่มขึ้น 1.4% อยู่ที่ 55.89 ดอลลาร์ เทรดเดอร์ในเอเชียระบุว่า ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น ประกอบกับแรงซื้อเก็งกำไรหลังราคาน้ำมันปรับตัวลงต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ยังคงมองว่าผลกระทบต่ออุปทานโลกอาจมีจำกัด เนื่องจากการผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาคิดเป็นเพียงราว 1% ของผลผลิตโลก และอุปทานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่กับผู้ซื้อไม่กี่ราย โดยเฉพาะจีน สหรัฐฯ และคิวบา ขณะที่น้ำมันบางส่วนจากเวเนซุเอลา รวมถึงจากอิหร่านและรัสเซีย ยังคงถูกขนส่งโดยเรือที่ไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตร ทั้งนี้ ตลาดยังคงต้องติดตามปัจจัยด้านอุปสงค์โลกและความคืบหน้าการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งยังเป็นความเสี่ยงด้านขาลงในระยะถัดไป