KKP Research ในเครือกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2568 ลงเหลือ 1.6% จากประมาณการเดิมที่ 1.7% และปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2569 ลงเหลือ 1.5% จากระดับเดิมที่ 2.0% โดยแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากทิศทางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มผ่อนคลาย แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเฉพาะภายในประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การชะลอตัวอย่างชัดเจนของนักท่องเที่ยวจีน ปัญหาความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิต และการบริโภคภายในประเทศที่ยังถูกกดดันจากการหดตัวของสินเชื่อภาคธนาคาร
จากความเสี่ยงดังกล่าว KKP Research ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องจากปัจจัยหนุนเศรษฐกิจระยะสั้นที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงต้นปีเริ่มลดลง โดยเฉพาะฐานต่ำของการลงทุนภาครัฐที่เริ่มหมดผลต่อการเติบโต การเร่งตัวของการส่งออกที่ชะลอลง และภาคการท่องเที่ยวที่แผ่วลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ KKP Research ยังเตือนว่า การประเมินเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นมีความไม่แน่นอนสูงและเผชิญความท้าทายมากขึ้น โดยมี 3 ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ต้องติดตามใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้การผ่านงบประมาณภาครัฐล่าช้า การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่อาจมีผลต่อการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย และราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ
สำหรับสถานการณ์การเมืองในประเทศ ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 9:0 รับคำร้อง สว.ยื่นถอดถอน "แพทองธาร ชินวัตร" ขณะที่มติ 7:2 สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราวตั้งแต่ 1 ก.ค.2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด ให้ส่งเอกสารชี้แจงภายใน 15 วัน ทำให้ปัจจุบัน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี ต้องขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้
KKP Research มองว่าปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มาจากทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาวและปัจจัยเฉพาะที่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มจะกดดันเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
ข้อมูลจาก KKP Research ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยลดลงเหลือเพียง 30-40% ของระดับก่อนโควิด-19 จากที่เคยฟื้นตัวขึ้นเกือบ 70% ในช่วงก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจาก
KKP Research มองว่า แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่น เช่น อินเดีย รัสเซีย และประเทศในอาเซียน จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวเหล่านี้ยังไม่สามารถชดเชยการลดลงของนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับปี 2568 KKP Research คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประมาณ 33.6 ล้านคน แต่ยังประเมินว่าตัวเลขดังกล่าวมีความไม่แน่นอนอยู่ในระดับสูง.
KKP Research มองว่า การเติบโตของการส่งออกไทยในช่วงต้นปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก การระบายสินค้าคงคลังเดิม ไม่ได้เกิดจากคำสั่งซื้อใหม่หรือการผลิตใหม่ที่มีความยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศอย่างแท้จริง
สำหรับ ภาคการผลิต ที่ขยายตัวในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว ได้แก่
KKP Research เตือนว่า ภาคการผลิตของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี เมื่อแรงสนับสนุนชั่วคราวเหล่านี้สิ้นสุดลง นอกจากนี้ ทิศทางการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
KKP Research ประเมินว่า การบริโภคภายในประเทศยังคงอ่อนแรง และได้รับแรงกดดันจาก การชะลอตัวของสินเชื่อในระบบธนาคาร ทั้งในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ SMEs และภาคครัวเรือน โดยเฉพาะ สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน สะท้อนภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในระบบธนาคาร
นอกจากนี้ รายได้ของครัวเรือนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้กำลังซื้อในประเทศยังไม่สามารถกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่
ในระยะยาว เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับ ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่กดดันการบริโภคอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเสถียรภาพและศักยภาพของอุปสงค์ในประเทศ
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession)
KKP Research ประเมินว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจนจากระดับ 3.1% ในไตรมาสแรก เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจที่เคยช่วยผลักดันในช่วงต้นปี กำลังทยอยหมดไป ประกอบด้วย
KKP Research มองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน หากไม่มีการแก้ไขข้อจำกัดเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ถดถอยลงในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มปี 2569 KKP Research คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 1.5% ซึ่งต่ำกว่าปี 2568 โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาครัฐและการส่งออกสินค้าหลังจากที่เร่งตัวขึ้นในปีนี้
ในระยะถัดไป KKP Research ยังคงมองว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และยังมีความเสี่ยงจาก 3 ปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ได้แก่
สถานการณ์การเมืองในประเทศมีความเปราะบางมากขึ้น หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลเหลือเสียงเพียงเล็กน้อยเหนือกึ่งหนึ่ง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 จะล่าช้าหรืออาจไม่สามารถผ่านได้ทันเวลา
ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณจะส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการภาครัฐที่สำคัญ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพคล้ายกับวิกฤตการคลังในปี 2566–2567 ที่เคยทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าหลายไตรมาสและกดดันเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยในอดีตพบว่าการล่าช้าดังกล่าวส่งผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.0 – 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ต่อไตรมาส หรือประมาณ 0.3 – 0.5 จุดเปอร์เซ็นต์ต่อการเติบโตของ GDP ทั้งปี
การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยในช่วงแรกสหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% ก่อนจะปรับลดลงชั่วคราวเหลือ 10% ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การเจรจาภาษีภายใต้บริบทการเมืองไทยที่ไม่มั่นคงมีแนวโน้มที่จะเผชิญความล่าช้าและความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจกลับไปเก็บภาษีในอัตราสูงอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจ
KKP Research ประเมินว่า หากสหรัฐฯ กลับมาเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่ 36% อีกครั้ง จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 0.8 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการเก็บภาษีเลย
ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลสร้างความเสี่ยงต่อการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยที่มีการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานในระดับสูง
ในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไทยอาจเผชิญภาวะ "stagflation" หรือภาวะเงินเฟ้อสูงควบคู่กับเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ
ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะกระทบเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ ได้แก่
ภายใต้ข้อจำกัดของนโยบายการคลังที่ปัจจุบันเผชิญภาระหนี้สาธารณะสูงถึง 70% ของ GDP และขาดดุลการคลังที่เกือบแตะเพดาน 4.5% ของ GDP KKP Research ประเมินว่านโยบายการเงินจะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
KKP Research คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง หรือรวม 0.75% ภายใน 12 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือ 1.0% จาก 1.25% ภายในไตรมาสแรกของปี 2026
พร้อมกันนี้ KKP Research แนะนำให้ ธปท. พิจารณาทางเลือกเชิงนโยบายเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขข้อจำกัดในกลไกการส่งผ่านนโยบายการเงิน โดยเฉพาะปัญหาการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ภาระหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงและเป็นอุปสรรคต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านสินเชื่อ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท. มีมติ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% พร้อมปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.3% จากเดิม 2.0% ตามข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาดในไตรมาส 1-2 นอกจากนี้ ธปท. ยังย้ำว่าช่องว่างในการปรับลดดอกเบี้ยมีอยู่จำกัด และจำเป็นต้องรักษา "Policy Space" สำหรับรองรับความเสี่ยงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม KKP Research มองว่าเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในทิศทางชะลอตัว ซึ่งจะทำให้ ธปท. มีความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้จะยอมรับว่าการชะลอตัวบางส่วนเป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายการเงินโดยตรง
KKP ชี้ว่า การแยกสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวออกจากกันอย่างแม่นยำเป็นเรื่องยาก แต่หลายสัญญาณชี้ว่าปัจจุบัน ภาวะการเงินอาจตึงตัวเกินไปและเป็นส่วนหนึ่งที่ซ้ำเติมการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ได้แก่
สัญญาณเหล่านี้สะท้อนว่า ธปท.ยังมีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมได้
ในระยะต่อไป เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ ธปท. ต้องทบทวนประมาณการเศรษฐกิจลง หากสมมุติฐานเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ การเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ ธปท. ในเดือนตุลาคม ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเป็นผู้ที่มีท่าทีผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น อาจกลายเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญของทิศทางนโยบายการเงินไทยในระยะถัดไป
KKP Research สรุปว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะยังคงเผชิญแรงกดดันรอบด้านและมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจทำให้การเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
การรับมือสถานการณ์ในระยะนี้จำเป็นต้องอาศัยการประสานนโยบายอย่างรอบด้าน ทั้งการผ่อนคลายนโยบายการเงิน การใช้นโยบายการคลังที่แม่นยำ และการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว