Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
วิจัยชี้ AI คือแพะรับบาป บริษัทเอามาอ้างเพื่อปลดคน ที่แท้บริหารแย่เอง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

วิจัยชี้ AI คือแพะรับบาป บริษัทเอามาอ้างเพื่อปลดคน ที่แท้บริหารแย่เอง

20 ต.ค. 68
14:48 น.
แชร์

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทต่าง ๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มปรับลดพนักงาน โดยให้เหตุผลว่าเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) การกล่าวอ้างนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกในวงการแรงงานและความไม่มั่นใจในอนาคตของอาชีพต่าง ๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของคลื่นปลดพนักงานดังกล่าวอาจซับซ้อนกว่าที่เห็น หลายฝ่ายเชื่อว่าบริษัทจำนวนไม่น้อยกำลังใช้ “AI” เป็นแพะรับบาป เพื่ออธิบายการตัดสินใจทางธุรกิจที่จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบริษัท เช่น การลดคน การควบรวม หรือการปรับโครงสร้างองค์กรในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว

Fabian Stephany ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้าน AI และการทำงาน แห่งสถาบัน Oxford Internet Institute ให้ความเห็นว่า บริษัทจำนวนมากที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดของโควิด-19 ได้ “จ้างงานเกินความจำเป็นอย่างมีนัยสำคัญ” และขณะนี้เมื่อเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ การปลดพนักงานรอบใหญ่จึงอาจเป็นเพียง “การปรับสมดุลตลาดแรงงาน” มากกว่าการเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีจริง ๆ 

เขาระบุว่า แนวโน้มการปลดพนักงานในช่วงนี้สะท้อนว่าหลายบริษัทอาจกำลังใช้ AI เป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าบริษัทของตนนั้นทันสมัยและล้ำหน้า ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการจัดการปัญหาภายในองค์กรเท่านั้น

เมื่อ “AI” กลายเป็นแพะรับบาปของโลกธุรกิจ

ในโลกของธุรกิจขนาดใหญ่ การอ้าง “AI” กลายเป็นวาทกรรมที่ถูกใช้บ่อยขึ้นเพื่ออธิบายการปลดคน ตั้งแต่บริษัทเทคโนโลยีไปจนถึงสายการบินและบริการทางการเงิน ตัวอย่างล่าสุดคือ Accenture บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งได้ประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กร โดยระบุว่าจะให้พนักงานที่ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ด้าน AI ได้ออกจากงาน “อย่างรวดเร็ว” ภายในช่วงเปลี่ยนผ่าน ขณะที่สายการบิน Lufthansa ของเยอรมนีเผยว่า จะลดพนักงานถึง 4,000 ตำแหน่งภายในปี 2573 โดยให้เหตุผลว่าบริษัทกำลังใช้ AI เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและลดความซ้ำซ้อนในระบบปฏิบัติการ

ด้าน Salesforce บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ก็ประกาศปลดพนักงานฝ่ายบริการลูกค้ากว่า 4,000 คนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยซีอีโอระบุว่า “AI สามารถทำงานได้ถึง 50% ของงานทั้งหมดภายในบริษัท” ในขณะที่ Klarna ฟินเทคจากสวีเดน ลดพนักงานลงกว่า 40% ภายในสองปีหลังจากเร่งนำ AI เข้ามาใช้ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจนถึงการตอบคำถามอัตโนมัติ ส่วน Duolingo แพลตฟอร์มการเรียนรู้ภาษาชื่อดัง ประกาศว่าจะค่อย ๆ ยุติการจ้างผู้รับเหมาภายนอก และหันมาใช้ AI ในการทำงานแทน

Stephany ให้ความเห็นว่า “ผมไม่เชื่อว่าการปลดพนักงานที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากประสิทธิภาพของ AI จริง ๆ แต่เป็นการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการสร้างเรื่องเล่า เพื่อให้บริษัทดูมีเหตุผลและก้าวทันยุค” 

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า บริษัทต่าง ๆ สามารถใช้ AI เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อสร้างภาพว่าตนเองอยู่แนวหน้าของนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งที่แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจจากการคำนวณผิดพลาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “มีหลายเหตุผลที่บริษัทต้องลดพนักงาน เช่น ปัญหาทางการเงินหรือการบริหารต้นทุน แต่เมื่อพูดว่า ‘เพราะ AI’ มันฟังดูดีกว่า มันให้ภาพลักษณ์ว่าบริษัทกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างชาญฉลาด” เขากล่าว

นอกจากนี้ Stephany ยังยกตัวอย่างกรณีของ Duolingo และ Klarna ว่าเป็นบริษัทที่ “จ้างงานเกินจริงในช่วงโควิด” ซึ่งขณะนั้นตลาดออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อโลกเริ่มเปิดกลับมา ความต้องการก็ลดลง “การปลดคนตอนนี้จึงไม่ใช่ผลจาก AI แต่เป็นการล้างตลาดแรงงานที่อิ่มตัวจากการจ้างเกินในอดีต” 

“แทนที่จะยอมรับว่าพวกเขาคำนวณผิดเมื่อสองหรือสามปีก่อน บริษัทเหล่านี้กลับเลือกใช้ AI เป็นข้ออ้าง เพื่อให้การปลดพนักงานดูมีเหตุผลมากขึ้น” Stephany กล่าว 

ตัวเลขสวนทางความกลัว วิจัยชี้ ผลกระทบ AI ต่อแรงงานยังจำกัด

ในช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มการใช้ AI เป็นเหตุผลในการปลดพนักงานจุดกระแสวิพากษ์ในโลกออนไลน์อย่างรุนแรง Jean-Christophe Bouglé ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Authentic.ly โพสต์ใน LinkedIn ว่า การนำ AI มาใช้จริงในองค์กรนั้น “ช้ากว่าที่ถูกกล่าวอ้างมาก” และในความเป็นจริง “หลายโครงการ AI ในบริษัทยักษ์ใหญ่กลับถูกยกเลิกเพราะความกังวลด้านต้นทุนและความปลอดภัย” แต่ในเวลาเดียวกัน กลับมีการประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่โดยอ้าง AI ว่าเป็นต้นเหตุ “มันดูเหมือนข้ออ้างในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว แม้ตลาดหุ้นจะยังทำผลงานได้ดี” Bouglé เขียน

ด้าน Jasmine Escalera ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพ เสริมว่าการสื่อสารที่ไม่โปร่งใสของบริษัทกำลัง “กระตุ้นความกลัว” ของแรงงานทั่วโลก “เรารู้ดีว่าพนักงานกลัวอยู่แล้ว เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าบริษัทกำลังนำ AI มาใช้อย่างไร และตอนนี้เมื่อผู้บริหารออกมาพูดอย่างเปิดเผยว่าการปลดคนเกิดขึ้นเพราะ AI มันก็ยิ่งทำให้ความวิตกนั้นรุนแรงขึ้น” เธอกล่าว พร้อมเรียกร้องให้บริษัทขนาดใหญ่มีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะพฤติกรรมและการสื่อสารของพวกเขามีอิทธิพลต่อมาตรฐานการตัดสินใจขององค์กรทั่วโลก

ในฝั่งของบริษัทที่ถูกวิพากษ์ก็ต่างพยายามออกมาแก้ต่าง Salesforce ชี้แจงว่าระบบ AI ของตนเองภายใต้ชื่อ “Agentforce” ช่วยลดจำนวนกรณีการบริการลูกค้าลงอย่างมาก จึงไม่จำเป็นต้องจ้างวิศวกรสนับสนุนเพิ่มเติม และยืนยันว่าพนักงานจำนวนหนึ่งได้รับการโยกย้ายไปยังแผนกอื่น เช่น ฝ่ายขายและฝ่ายบริการลูกค้า ขณะที่ Klarna ยืนยันว่า การลดพนักงานจาก 5,500 คนเหลือ 3,000 คนภายในสองปีนั้น “AI เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องเท่านั้น” และการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับทีมวิเคราะห์ข้อมูลและทีมบริการลูกค้า 

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพข่าวจะดูน่ากังวล แต่ข้อมูลเชิงวิจัยกลับบ่งชี้ว่าความกลัวว่า AI จะมาแย่งงานมนุษย์นั้นอาจเป็นความกลัวที่เกินจริง โดย The Budget Lab แห่งมหาวิทยาลัยเยลเปิดเผยรายงานเมื่อเดือนตุลาคมว่า ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2565 ตลาดแรงงานสหรัฐฯ แทบไม่ได้รับผลกระทบจาก AI ในเชิงโครงสร้าง การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลแรงงานระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงกรกฎาคม 2568 โดยใช้ “ดัชนีความแตกต่าง” (Dissimilarity Index) เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนอาชีพในตลาดแรงงาน และเปรียบเทียบกับช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในอดีต เช่น การเกิดขึ้นของคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ผลการศึกษาเผยว่า AI ยังไม่ส่งผลให้เกิดการสูญเสียงานอย่างแพร่หลาย

ในทำนองเดียวกัน การวิจัยของธนาคารกลางนิวยอร์ก (New York Fed) ที่เผยแพร่ในเดือนกันยายน ยังพบว่าการใช้ AI ในบริษัทต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ส่งผลให้มีการจ้างงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลระบุว่า 40% ของบริษัทในภาคบริการใช้ AI ในปี 2568 เพิ่มจาก 25% ในปีก่อนหน้า ขณะที่ภาคการผลิตเพิ่มจาก 16% เป็น 26% แต่มีเพียง 1% ของบริษัทบริการเท่านั้นที่ระบุว่าการปลดพนักงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเกิดจาก AI ซึ่งลดลงจาก 10% ในปี 2567 ในทางตรงกันข้าม 35% ของบริษัทใช้ AI เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน และ 11% ระบุว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยให้พวกเขาต้องจ้างคนเพิ่มเสียด้วยซ้ำ

Stephany สรุปว่า “จนถึงตอนนี้ เรายังไม่มีหลักฐานว่าการว่างงานเชิงโครงสร้างจาก AI เกิดขึ้นในระดับมหภาค” เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ความกลัวว่าเทคโนโลยีจะทำลายแรงงานมนุษย์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำตลอดประวัติศาสตร์ “ตั้งแต่สมัยโรมันที่จักรพรรดิออกคำสั่งห้ามใช้เครื่องจักรเพราะกลัวว่าประชาชนจะตกงาน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตรงกันข้าม เทคโนโลยีทำให้อุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเปิดทางสู่อาชีพใหม่ ๆ” 

“ลองมองย้อนกลับไปแค่ 20 ปีก่อน ไม่มีใครรู้จักคำว่า ‘นักพัฒนาแอปพลิเคชัน’ หรือ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ เพราะอาชีพเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้น มันคือผลของเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่งผู้คนเคยกลัวว่าจะมาทำลายงานมนุษย์ แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างโอกาสใหม่แทน” Stephany กล่าวทิ้งท้าย


แชร์
วิจัยชี้ AI คือแพะรับบาป บริษัทเอามาอ้างเพื่อปลดคน ที่แท้บริหารแย่เอง