เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของบัณฑิตจบใหม่ที่เข้าสู่สายงานออฟฟิศ (white-collar) ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า งานในกลุ่มนี้ไม่เพียงเผชิญความเสี่ยงจากการลดจำนวนลงอย่างมากเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะถูกปรับเปลี่ยนบทบาท หรืออาจหายไปโดยสิ้นเชิงในบางสาขา
คำเตือนนี้สะท้อนถึงพัฒนาการของ AI ที่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ควบคู่กับทิศทางของผู้บริหารองค์กรจำนวนมากที่เริ่มมองเห็น AI เป็นเครื่องมือหลักในการลดต้นทุนด้านแรงงานและยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร
ดาริโอ อาโมเดอี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Anthropic ผู้อยู่เบื้องหลังโมเดล AI "Claude" ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Axios ว่า เทคโนโลยี AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในสหรัฐฯ หายไปถึง 50% ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า ซึ่งหากเป็นจริง จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งในตลาดแรงงาน
บริษัทสื่อรายใหญ่อย่าง Business Insider ได้ประกาศปลดพนักงานถึง 21% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย บาร์บารา พิง ซีอีโอของบริษัท ระบุชัดว่าองค์กรกำลัง “เดินหน้าเต็มกำลัง” กับการนำ AI มาใช้ เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้สามารถ “ขยายตัวและดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
นักวิเคราะห์ที่ให้สัมภาษณ์กับ ABC News ชี้ว่า งานในสาขาที่บัณฑิตใหม่มักเลือก เช่น กฎหมาย การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการสนับสนุนธุรการ เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่กำลังถูก AI แทรกแซงในระดับหน้าที่ โดยเฉพาะงานที่มีลักษณะซ้ำซาก หรือใช้ตรรกะเชิงโครงสร้างชัดเจน ซึ่ง AI สามารถเรียนรู้และทำซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ตำแหน่งในภาคแรงงานฝีมือ (blue-collar) และงานที่ต้องใช้แรงกายหรือการตัดสินใจเฉพาะบุคคลจะยังคงมีความต้องการอยู่ในระดับสูง แต่กลุ่มแรงงานรุ่นใหม่ที่ไม่มีทักษะเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีอาจเผชิญความเสี่ยงสูงในการเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างยั่งยืน
ดังนั้น แม้ AI จะเป็นเครื่องมือที่เพิ่มขีดความสามารถขององค์กร แต่กระแสการปรับโครงสร้างงานที่รวดเร็ว อาจก่อให้เกิดช่องว่างในโอกาสทางเศรษฐกิจของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่มีทักษะที่สามารถใช้ AI เป็นส่วนเสริมการทำงานได้
ในบริบทเช่นนี้ การปรับนโยบายการศึกษา การฝึกอบรมทักษะแห่งอนาคต และการออกแบบระบบประกันสังคมให้รองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี จึงกลายเป็นวาระสำคัญที่รัฐและภาคเอกชนต้องเร่งดำเนินการควบคู่กันอย่างเร่งด่วน
แม้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคแรงงาน แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า ผลกระทบดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะด้านและความสามารถเชิงมนุษย์ เช่น แพทย์ ศิลปิน นักวิเคราะห์อาวุโส หรือครูปฐมวัย ยังคงมีเสถียรภาพในระดับสูงในระยะสั้นถึงกลาง
อิซาเบลลา โลอาอิซา นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งร่วมศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานระหว่างปี 2016–2024 ระบุว่า AI ไม่ได้ลดคุณค่าของทักษะมนุษย์ เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ ความเห็นอกเห็นใจ หรือการปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์ กลับกัน งานที่ต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น ครูอนุบาล ผู้ดูแลผู้สูงอายุ และที่ปรึกษาทางจิตใจ กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น
“แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า AI เริ่มส่งผลชัดเจนในภาคงานออฟฟิศมากกว่างานที่ต้องใช้แรงกาย แต่ตำแหน่งที่ต้องอาศัยความเข้าใจและปฏิสัมพันธ์ในระดับลึก ยังมีความมั่นคงสูง” โลอาอิซากล่าว
ในทางตรงข้าม งานที่อิงกระบวนการซ้ำ ๆ ที่สามารถพัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติได้ เช่น การสรุปข้อมูลเบื้องต้น การค้นคว้ากฎหมาย หรือการเขียนโค้ดพื้นฐาน กลับกลายเป็นกลุ่มที่เผชิญความเสี่ยงสูงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI
อนุ มัทกาฟการ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดแรงงานจาก McKinsey Global Institute เตือนว่า “กลุ่มงานระดับเริ่มต้นซึ่งเป็นบันไดก้าวแรกของบัณฑิตจบใหม่ คือเป้าหมายแรกของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี หากภาครัฐและภาคธุรกิจไม่เร่งออกแบบนโยบายรองรับ รวมถึงการปรับทักษะอย่างเร่งด่วน ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสในกลุ่มแรงงานรุ่นใหม่อาจยิ่งรุนแรงขึ้น”
ขณะที่ ลินน์ วู ศาสตราจารย์ด้านข้อมูลและการตัดสินใจจาก University of Pennsylvania เสริมว่า “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่แค่การลดตำแหน่งงาน แต่คือการที่ 'บันไดอาชีพ' สำหรับคนรุ่นใหม่เริ่มขาดตอน ซึ่งส่งผลต่อเส้นทางเติบโตในระยะยาว”
ทั้งนี้ มัทกาฟการ์เน้นว่า งานระดับเริ่มต้นจะไม่หายไปโดยสิ้นเชิง แต่จะถูก “ปรับโฉม” โดยนายจ้างจะมองหาทักษะที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเชิงระบบ และความสามารถในการใช้งาน AI เป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ
“เรายังต้องการแรงงานใหม่อยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความคาดหวัง ทักษะในการใช้ AI จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานอย่างรวดเร็วสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดงาน” มัทกาฟการ์กล่าวสรุป