ธุรกิจการตลาด

Pizza Hut vs The Pizza Company จากพันธมิตรสู่คู่ปรับ สงครามพิซซ่าในไทย

23 พ.ค. 67
Pizza Hut vs The Pizza Company จากพันธมิตรสู่คู่ปรับ สงครามพิซซ่าในไทย

โลกออนไลน์ลุกเป็นไฟ! เมื่อสองยักษ์ใหญ่แห่ง วงการพิซซ่า เปิดศึกท้ารบกันกลางโซเชียล เริ่มด้วยหมัดเด็ดจาก "เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" ที่งัดโปรโมชันสุดร้อนแรง "วันเดย์ วันดีล" พิซซ่าถาดกลาง 99 บาท (จากราคาปกติ 299 บาท) ทำเอาแฟนๆ ฮือฮา แห่กดไลค์ กดแชร์กันกระหน่ำ แต่กระแสตอบรับที่ถล่มทลายกลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อออเดอร์ทะลักเข้ามามากมายจนหลายสาขาต้องประกาศ "แป้งหมด" สร้างความผิดหวังให้กับลูกค้าที่ตั้งตารอ จนทางแบรนด์ต้องรีบออกมาขอโทษขอโพย พร้อมสัญญาว่าจะปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น

แม้ดราม่าจะซาลง แต่สงครามยังไม่จบ! "พิซซ่า ฮัท" ไม่ยอมน้อยหน้า ขอเอาคืนด้วยโปรฯ สวนกลับ พิซซ่าถาดกลาง 98 บาท ทุกหน้า ทุกหมวด ยาวนานถึง 2 วันเต็ม! พร้อมแคปชั่นเด็ด "ตามคำเรียกร้อง!" งานนี้ทำเอาชาวเน็ตตาโต ต่างพากันสงสัยว่านี่คือการเอาคืน หรือแค่บังเอิญ? แต่ที่แน่ๆ "เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" ไม่ยอมอยู่เฉย ตอกกลับทันควันด้วยโพสต์สุดจี๊ด "ถึงโปรจะลอกได้ แต่ความอร่อยลอกไม่ได้จริงๆ" สงครามครั้งนี้ชวนให้นึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของสองแบรนด์นี้ ที่จากเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันจนแปรเปลี่ยนมาเป็นศัตรูกัน จุดเริ่มต้นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเดี๋ยวเราจะอธิบายให้ท่านฟัง

Pizza Hut vs The Pizza Company จากพันธมิตรสู่คู่ปรับ ตำนานสงครามพิซซ่าในไทย

Pizza Hut vs The Pizza Company จากพันธมิตรสู่คู่ปรับ สงครามพิซซ่าในไทย

Pizza Hut และ The Pizza Company สองแบรนด์พิซซ่าที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของทั้งคู่ มีเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่พลิกผัน จากพันธมิตรทางธุรกิจ สู่คู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในตลาดพิซซ่า

Pizza Hut ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2501 โดยแฟรงก์ และ แดน คาร์นีย์ สองพี่น้องผู้หลงใหลในรสชาติของพิซซ่า ณ รัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา ด้วยสูตรลับเฉพาะตัวและกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด Pizza Hut เติบโตอย่างรวดเร็ว ขยายสาขาไปทั่วสหรัฐอเมริกาและก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Pizza Hut เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยผ่านความร่วมมือกับคุณวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจอาหารและโรงแรม ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้นระหว่าง Pizza Hut และ The Pizza Company ในอนาคต

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ความขัดแย้งและการแยกทาง

ปี พ.ศ. 2523 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางธุรกิจพิซซ่าของไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เมื่อคุณวิลเลียม ไฮเน็ค ได้รับสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ Pizza Hut ในประเทศไทย เขาตัดสินใจเปิดสาขาแรกที่พัทยา จังหวัดชลบุรี ด้วยสายตาอันเฉียบคม มองเห็นโอกาสจากการที่มีทหารอเมริกันจำนวนมากพำนักอยู่ในพื้นที่เนื่องจากสงครามเวียดนาม ผลลัพธ์คือความสำเร็จเกินคาด Pizza Hut สาขาแรกได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จุดประกายให้คุณวิลเลียมเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จของ Pizza Hut ในประเทศไทยไปเข้าตา Tricon Global Restaurants (ปัจจุบันคือ Yum! Brands) เจ้าของแฟรนไชส์ Pizza Hut ที่ต้องการเข้ามาบริหารกิจการในประเทศไทยด้วยตัวเอง ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น นำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายที่ยืดเยื้อ และจบลงด้วยการที่ Tricon Global Restaurants ได้สิทธิ์ในการบริหาร Pizza Hut ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

The Pizza Company กำเนิดจากความมุ่งมั่นในเวลาเพียง 45 วัน

Pizza Hut vs The Pizza Company จากพันธมิตรสู่คู่ปรับ สงครามพิซซ่าในไทย

การสูญเสียสิทธิ์ใน Pizza Hut ไม่ได้ทำให้ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ย่อท้อ พวกเขาตัดสินใจลุกขึ้นสู้ ด้วยการสร้างแบรนด์พิซซ่าของตัวเองขึ้นมาในปี พ.ศ. 2544 The Pizza Company จึงถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะครองใจผู้บริโภคชาวไทย

การเปิดตัว The Pizza Company เป็นจุดเริ่มต้นของ "สงครามพิซซ่า" ครั้งยิ่งใหญ่ในประเทศไทย หลายคนคาดการณ์ว่า Pizza Hut ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว จะยังคงครองตลาดต่อไป แต่ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีไพ่ตายอยู่ในมือ นั่นคือหน้าร้านเดิมของ Pizza Hut ที่สามารถเปลี่ยนป้ายเป็น The Pizza Company ได้ทันที ขณะที่ Pizza Hut ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เสียเวลาและทรัพยากรในการเปิดสาขาใหม่

สงครามพิซซ่าครั้งนี้ เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและยาวนาน ทั้งสองแบรนด์ต่างงัดกลยุทธ์ทางการตลาดออกมาสู้กันอย่างเต็มที่ The Pizza Company เน้นการสร้างสรรค์เมนูพิซซ่าหน้าไทยๆ ที่ถูกปากคนไทย และการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับลูกค้า ขณะที่ Pizza Hut ยังคงรักษาจุดแข็งในเรื่องความหลากหลายของเมนูและการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

The Pizza Company ใน ปัจุจบัน

ปัจุจบันเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ทะยานสู่ความสำเร็จด้วยการเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว จากความใส่ใจของทีมงาน และความหลงใหลในการพัฒนารสชาติอาหารที่เหนือระดับ ทำให้เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย โดยปัจจุบันมีจำนวนสาขามากกว่า 564 สาขา แห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก เช่น คูเวต, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดีอาระเบีย, จีน, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา

ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

  • พ.ศ. 2562 รายได้ 6,072 ล้านบาท กำไรสุทธิ 269 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2563 รายได้ 5,399 ล้านบาท กำไรสุทธิ 154 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2564 รายได้ 4,779 ล้านบาท กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2565 รายได้ 4,645 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 117 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2566 รายได้ 5,852 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,188 ล้านบาท

สำหรับรายได้ของ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ไม่ได้มาจากแบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เพียงแบรนด์ แต่มาจาก แบรนด์อาหารหลากหลายแบรนด์ เช่น Bonchon, Sizzler, Swensen’s

Pizza Hut ใน ปัจุจบัน

Pizza Hut vs The Pizza Company จากพันธมิตรสู่คู่ปรับ สงครามพิซซ่าในไทย

ด้าน พิซซ่าฮัท ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่แต่เดิมคือ Tricon Global Restaurants ที่ชนะคดีเครือไมเนอร์ ก็ได้ขายกิจการพิซซ่าฮัทในไทยให้แก่ บริษัท พีเอชแคปปิตอล จำกัด ซึ่ง บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA โดยปัจจุบัน บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด ของครอบครัว มหากิจศิริ ส่วน คือ บริษัทที่บริหารจัดการกิจการและให้สิทธิ์แฟรนไชส์ ร้านพิซซ่าฮัท ทุกสาขาในประเทศไทย โดยมีร้านพิซซ่าฮัทเปิดให้บริการมากกว่า (TBC) สาขา ทั่วประเทศ

ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ของ บริษัท พีเอชแคปปิตอล จำกัด

  • พ.ศ. 2561 รายได้ 1,719 ล้านบาท ขาดทุน 29 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2562 รายได้ 1,903 ล้านบาท กำไร 13 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2563 รายได้ 1,917 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2564 รายได้ 1,828 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4 ล้านบาท
  • พ.ศ. 2565 รายได้ 1,778 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 105 ล้านบาท

ผลลัพธ์ของสงครามพิซซ่าครั้งนี้ ไม่ได้มีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว แต่เป็นการผลักดันให้ตลาดพิซซ่าในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการมีตัวเลือกที่หลากหลายและรสชาติที่ถูกปากมากยิ่งขึ้น สงครามพิซซ่าครั้งนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ก็สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้


อัปเดตชาวโซเชียลคิดเห็นอย่างไรกับโปรเดือดสุดขิงของเหล่าแบรนด์พิซซ่า

screenshot2024-05-23170117_1

จากกระแสสงคราม ลดราคาพิซซ่า บนโลกโซเชียล เมื่อ The Pizza Company เปิดตัวแคมเปญพิซซ่าถาดกลางราคา 99 บาท ตาม Pizza Hut ตอบโต้ด้วยกลยุทธ์ Guerrilla marketing ปรับราคาพิซซ่าถาดกลางลงเหลือ 98 บาท ขณะที่ Domino’s Pizza เลือกใช้กลยุทธ์แตกต่าง มุ่งเน้นคุณภาพและบริการเหนือโปรโมชั่นราคา จากผลการศึกษาของ Wisesight Research ระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม 2567 ชี้ให้เห็นถึงการตอบรับของผู้บริโภคต่อแคมเปญทั้งสามบนโซเชียลมีเดีย

The Pizza Company

  • การพูดถึง: 63,394 ข้อความ
  • Engagement: 1,013,028 ครั้ง
  • ด้านบวก: 3,567 ข้อความ (ชื่นชมโปรโมชั่นที่คุ้มค่า)
  • ด้านลบ: 2,659 ข้อความ (ปัญหาเรื่องคิวยาว, คุณภาพสินค้าลดลง)

Pizza Hut

  • การพูดถึง: 50,008 ข้อความ
  • Engagement: 602,277 ครั้ง
  • ด้านบวก: 2,091 ข้อความ (ชื่นชอบการแข่งขันด้านราคา)
  • ด้านลบ: 1,808 ข้อความ (ระบบสั่งอาหารล่ม, ลดราคาไม่มากพอ)

Domino’s Pizza

  • การพูดถึง: 5,619 ข้อความ
  • Engagement: 94,192 ครั้ง
  • ด้านบวก: 959 ข้อความ (ชื่นชมจุดยืนของแบรนด์)
  • ด้านลบ: 95 ข้อความ (รสชาติ, จำนวนสาขาน้อย)

แคมเปญการตลาดที่สร้างสีสันบนโซเชียลมีเดียเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือของการแข่งขันทางธุรกิจเพื่อกระตุ้นยอดขายระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แบรนด์ที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยคุณภาพสินค้าและบริการที่เป็นเลิศ ควบคู่ไปกับการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า จะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในใจผู้บริโภคในระยะยาว

 ที่มา pizzahut , minorfood และ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์   

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT