Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ดร.กอบศักดิ์จี้สางปม ‘อีอีซี’ 5 ปีไม่เริ่ม ยึดคืน-ปรับ ชี้ 4 แนวนโยบาย
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ดร.กอบศักดิ์จี้สางปม ‘อีอีซี’ 5 ปีไม่เริ่ม ยึดคืน-ปรับ ชี้ 4 แนวนโยบาย

22 ต.ค. 68
13:33 น.
แชร์

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล จี้รัฐบาลสะสางโครงการ ‘อีอีซี’ ให้เกิดขึ้นจริง แก้กฎเกณฑ์กำหนดหาก 5 ปีไม่เริ่ม จะยึดสิทธิ์คืนและเรียกค่าปรับ 10% ของมูลค่าโครงการ เพื่อชดเชยที่ทำประเทศเสียโอกาส พร้อมเสนอ 4 แนวทางนโยบายที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการก่อนหมดเวลา 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ขึ้นเวทีเสวนา “4 เดือน: สิ่งที่อยากเห็นจากรัฐบาลใหม่” ที่สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยกล่าวถึงความคาดหวังที่มีต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งแม้ว่ามีเวลาแค่ 4 เดือน แต่ ดร.กอบศักดิ์เชื่อว่าหากตั้งเป้าหมายและตั้งใจทำงานดีๆ ก็จะสามารถทำให้สำเร็จได้หลายเรื่อง

จี้สะสาง ‘อีอีซี’ 5 ปีไม่ทำ ยึดคืนพร้อมปรับ 10% 

เรื่องที่ ดร.กอบศักดิ์ให้ความสำคัญและกล่าวเน้นย้ำถึงสามครั้ง ทั้งกล่าวบนเวทีเสวนาและกล่าวเพิ่มเติมกับผู้สื่อข่าว คือ อยากให้รัฐบาลขับเคลื่อนการดำเนินการให้โครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (Eastern Economic Corridor: EEC) เกิดขึ้นให้ได้อย่างน้อยสักหนึ่งโครงการ 

ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า ขณะนี้มีหลายโครงการใหญ่ที่ยังไม่เริ่มดำเนินการ เช่น โครงการสนามบินที่ไม่ติดขัดปัญหาอะไร แต่ยังไม่เริ่ม รัฐบาลควรแก้ไขกฎเกณฑ์อีอีซี โดยกำหนดเกณฑ์ใหม่ว่า โครงการที่ได้สัมปทานหรือได้สิทธิ์ร่วมทุนกับรัฐ (PPP) ไปแล้ว หาก 5 ปี ไม่เริ่มดำเนินการ ต้องยึดคืนสัมปทานหรือสัญญาร่วมทุน และต้องเรียกค่าปรับอัตรา 10% ของค่าใช้จ่ายโครงการ เพื่อชดเชยที่ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสเสียเวลา ซึ่งการแก้ไขกฎเกณฑ์อยู่ในขอบเขตที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกสามารถสั่งการได้ 

“เราควรแก้กฎว่าใครประมูลไปแล้ว ถ้าเกิน 5 ปี ไม่เริ่มดำเนินการ ให้ยึดคืน และเรียกค่าปรับชดเชยการเสียโอกาส ประมูลกันมา 5 ปีแล้ว ถ้าเริ่มทำ ตอนนี้คงเสร็จแล้ว … ผมว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะปล่อยให้ลากกันไปลักษณะนี้ มันทำร้ายประเทศ ถ้าโครงการเหล่านี้เสร็จ มันจะทำให้ประเทศไทยก้าวไปอีกระดับหนึ่งได้ ผมอยากให้รัฐบาลนี้ใช้โอกาสนี้ในการวางกรอบใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยเดินไปได้ดีกว่าเดิม”

เสนอหลักการทำงานถึงรัฐบาล 

ดร.กอบศักดิ์ แนะแนวคิดและหลักการการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลว่า หัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบายคือ ‘การคลัง’ และการนำนโยบายไปขับเคลื่อนจริง ซึ่งความยากที่สุด คือ มีงานเฉพาะหน้าจำนวนมากและจะมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ดังนั้น รัฐบาลต้องแบ่งกลุ่มทีมงานที่จัดการเรื่องเฉพาะหน้า และทีมงานที่ขับเคลื่อนนโยบายดีๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหลายเรื่อง อาจจะตั้งเป้าให้ 1 รัฐมนตรีขับเคลื่อน 1 เรื่องต่อเดือน แล้วในเวลา 4 เดือนจะได้งาน 20 เรื่องจากรัฐมนตรี 5 คน 

นอกจากนั้น ดร.กอบศักดิ์บอกว่า นักเศรษฐศาสตร์มักจะแนะว่าต้องเลือกทำสิ่งที่ดีที่สุด คุ้มค่าทีสุด แต่โดยส่วนตัวมองว่าไม่จำเป็นต้องเลือกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาลปัจจุบันที่มีเวลาน้อย เพียงแค่ประเมินแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญและจะเกิดประโยชน์ ก็ควรดำเนินการให้สำเร็จไปทีละเรื่อง เมื่อสำเร็จแล้วเดินหน้าไปดำเนินการเรื่องอื่น จะดีกว่าใช้เวลาคำนวณและเลือกมาก 

ดร.กอบศักดิ์กล่าวอีกว่า ถ้าไม่เริ่มทำตั้งแต่วันนี้สถานการณ์ของไทยจะยิ่งแย่ เพราะประเทศไทยกำลังจะแพ้ประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการว่า ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ขนาดจีดีพีของไทยจะเป็นที่ 5 ของอาเซียน และเมื่อบวกไปอีกสองปี คือ 2032 ไทยจะกลายเป็นอันดับที่ 6 ของอาเซียน ชนะเพียงเมียนมา กัมพูชา ลาว และบรูไน เท่านั้น 

“ตอนนี้ไฟลุกท่วมเลย ขอให้ทำบางเรื่องก็จะช่วยประเทศไทยได้บ้าง”  

นอกจากนั้น ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า รัฐบาลมีเวลาไม่มาก อีก 1 เดือนช่วงฮันนีมูนจะจบลงอย่างชัดเจน แล้วจะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง หลังจากนั้น เมื่อรัฐบาลอยู่ครบ 4 เดือน ความสนใจจะอยู่ที่การเลือกตั้ง การจะขับเคลื่อนนโยบายจะยาก และในช่วง 4 เดือนหลังที่เป็นรัฐบาลรักษาการจะยิ่งยาก ดังนั้น เมื่อเลือกเรื่องที่จะขับเคลื่อนได้แล้วต้องเร่งดำเนินการ 

4 แนวทางนโยบายที่อยากเห็น 

ดร.กอบศักดิ์บอกว่ามีหลายเรื่องที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการ ได้แก่

1. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น – ดร.กอบศักดิ์มองว่าการกระตุ้นระยะสั้นมีความสำคัญ-จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าก่อน ซึ่งการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่นำโครงการเก่าๆ มาใช้ ทั้ง ‘คนละครึ่ง พลัส’ และ ‘เที่ยวดี มีคืน’ นั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากรัฐบาลจะทำโครงการใหม่ของตนเอง คงต้องใช้เวลาอีกมาก 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ดร.กอบศักดิ์บอกอีกว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำแต่พอประมาณ พอให้เศรษฐกิจเดินไปได้ แต่ที่สำคัญกว่าการกระตุ้นระยะสั้น คือ การสร้าง New S-Curve ให้ประเทศไทย 

2. นโยบาย ‘คานงัด 10X’ –  นโยบายที่เป็นคานงัดซึ่งใช้เงินน้อยแต่ได้ผล 10 เท่า โดยตัวอย่างนโยบายที่อยากให้ทำ คือ THAI SME-GP ที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้มากขึ้น เพราะหากภาครัฐไม่ช่วยสนับสนุน สินค้าของ SME ไทยจะไม่สามารถสู้สินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาด

อีกนโยบายที่ ดร.กอบศักดิ์อยากเห็น คือ การจัดสรรงบประมาณและบุคลากรให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดึงเงินเข้าประเทศมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทีมหาตลาดของกระทรวงพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) 

“หน่วยงานเหล่านี้ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าจะสำคัญมาก อย่างกระทรวงพาณิชย์ โดนัลด์ ทรัมป์ จะป่วนตลาดตลอดเวลา ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งถ้าไม่มีเงินและไม่มีกำลังคนมากพอก็ยากที่จะดำเนินการ ด้านการท่องเที่ยวก็คือโอกาส ควรเพิ่มเงินอย่างน้อยอีกสองหรือสามเท่าสำหรับ ททท. BOI และทีมเจรจาเปิดตลาด ขณะเดียวกันต้องเพิ่มคนด้วย เป็นนโยบายที่ใช้เงินไม่มากแต่จะได้ผลมาก” 

3. นโยบายเปิดประตูน้ำ – ปลดล็อกกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน เช่น การเปิดทางให้ BOI นำบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI เข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้โดยง่าย การผลักดันการปฏิรูปการออมเพื่อการเกษียณอายุ (TISAs) การปรับกฎเกณฑ์ BOI สนับสนุนให้บริษัทช่วยชุมชน การเปิดเสรีภาคบริการ และอีกหลายๆ กฎเกณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกิโยตินกฎหมายตลาดทุน 

“แม้ว่ารัฐบาลจะอยู่สั้น แต่สามารถสร้างผลกระทบระยะยาว (long-lasting impact) ได้ โดยการเปิดประตูน้ำ หลายอย่างติดขัดเพียงเพราะไม่มีคนสนใจ ไม่มีคนกรุยทางไว้ให้” 

ดร.กอบศักดิ์มองว่า การเปิดทางให้บริษัทต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ง่ายจะเป็นการเพิ่ม S-Curve ใหม่ เพิ่มสินค้าตัวใหม่ให้ตลาดทุน และจะเป็นหุ้นแห่งอนาคต เพราะในปัจจุบันต้องยอมรับว่า หุ้นที่เติบโตได้ดีคือหุ้นเทคโนโลยี ขณะที่หุ้นอุตสาหกรรมอื่นโตไม่ดีแล้ว รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร ดังนั้น “เราต้องเอาหุ้นตัวที่ใช่มาอยู่ประเทศไทยให้มากขึ้น”

4. นโยบายนำเงินคนอื่นมาใช้ – การดึงเงินนอกภาครัฐรวมถึงเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยในการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากภาครัฐมีปัญหาขาดดุลการคลัง ขณะที่นอกภาครัฐและต่างประเทศยังมีเงินมีสภาพคล่องจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมธนาคารมีสภาพคล่องหลักล้านล้านบาท แต่การที่จะดึงเงินมาได้นั้น รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพที่จะฟื้นกลับมาแล้วเดินหน้าต่อได้ 

ดร.กอบศักดิ์บอกว่า หนึ่งเรื่องที่จะสร้างความเชื่อมั่นได้ คือ การทำให้โครงการอีอีซีเกิดขึ้นจริง และการปรับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอีอีซี 

เชียร์จัดการสแกมเมอร์และมุมมืดของตลาดทุน

นอกจากนั้น ดร.กอบศักดิ์ ซึ่งสวมหมวกหนึ่ง คือ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องบริษัทในตลาดทุนไทยหลายบริษัทถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับทุนเทาหรือสแกมเมอร์ว่า ไทยควรเอาจริงเอาจังกับการจัดการเรื่องสแกมเมอร์และเรื่องมุมมืดของตลาดทุน เช่น กรณีหุ้น STARK หุ้น MORE และการปั่นหุ้นต่างๆ ซึ่งหากจัดการอย่างจริงจังจะเป็นผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาว

“หัวใจที่สำคัญคือ นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นก็ต่อเมื่อเขาเข้ามาในตลาดทุนแล้วเขามั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ถูกตีหัว ถ้าเราบอกเขาว่านี่คือหุ้นดีติด SET50 แต่สุดท้ายกลายเป็นหุ้นที่ไม่มีราคา หรือจากมูลค่าหลายแสนล้านเหลือหลักหมื่นล้าน ผมบอกเลยว่าปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ผมคิดว่าการเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี และอยากให้ทำ อยากให้ดำเนินการให้ชัดเจนว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้างเรื่องนี้ อาจจะดูเป็นผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะดี ปัจจุบันดัชนี SET อยู่ที่ประมาณ 1300 จุด ก็ถือว่าดี” ดร.กอบศักดิ์กล่าว 

แชร์
ดร.กอบศักดิ์จี้สางปม ‘อีอีซี’ 5 ปีไม่เริ่ม ยึดคืน-ปรับ ชี้ 4 แนวนโยบาย