
มีเสียงเตือนและมีกระแสความหวาดกลัวกันมาระยะหนึ่งแล้วว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังฟูฟ่องอยู่ในภาวะฟองสบู่ แล้วจะแตกในที่สุด ซึ่งหากฟองสบู่แตก ธุรกิจและหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม AI ก็จะได้รับผลกระทบไปหมด โดยเฉพาะธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วยังไม่ได้กำไรหรือยังไม่ได้ทุนคืน
อย่างไรก็ตาม บริษัทในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไม่มีความกังวล โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งอัลฟาเบต (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิล (Google) ไมโครซอฟต์ (Microsoft) เมตา (Meta) แอมะซอน (Amazon) ล้วนแต่เดินหน้าทุ่มลงทุนกันมหาศาล เพราะมองว่านี่คืออนาคตที่จะแพ้หรือไม่เข้าไปแบ่งเค้กไม่ได้
การลงทุนด้าน AI ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิปและฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการฝึกฝนและพัฒนา AI รับประโยชน์ไปเต็มๆ ดังจะเห็นว่าผลประกอบการและหุ้นกลุ่มชิปดีวันดีขึ้น โดยเฉพาะเอ็นวิเดีย (Nvidia) ที่ครองตลาดชิปและฮาร์ดแวร์สำหรับศูนย์ข้อมูล (data center) อยู่
เมื่อเร็วๆ นี้ เจนเซน หวง (Jensen Huang) ซีอีโอของ Nvidia กล่าวว่า ตลาดโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI infrastructure) จะเติบโตจนมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 หรืออีกเพียง 5 ปีข้างหน้า
Advance Micro Devices หรือ AMD (เอเอ็มดี) บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ คู่แข่งรายสำคัญของ Nvidia คาดการณ์ว่า ตลาดชิปศูนย์ข้อมูลจะเติบโตจนมีขนาด 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 โดยมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ซึ่งตลาดชิปศูนย์ข้อมูลที่ว่านี้ครอบคลุมทั้งชิปประมวลผลธรรมดาและชิประบบเครือข่ายของ AMD และชิป AI เฉพาะทางอื่นๆ ด้วย
“มันเป็นตลาดที่น่าตื่นเต้น ศูนย์ข้อมูลคือโอกาสในการเติบโตที่ใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นตลาดที่ AMD อยู่ในตำแหน่งที่ดีมากๆ ด้วย” ลิซา ซู (Lisa Su) ซีอีโอ AMD กล่าวในงาน Analyst Day ซึ่งจัดขึ้นในนิวยอร์กเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ในส่วนของบริษัทเอง AMD คาดว่าจะมีรายได้จากชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 5 ปีข้างหน้า และคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่า
ฌอง ฮู (Jean Hu) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ AMD บอกว่า ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า AMD คาดว่าจะเห็นอัตราการเติบโตของกำไร 35% ต่อปี และเติบโต 60% ในธุรกิจชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล พร้อมคาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในช่วงเวลา 3-5 ปีนั้น ทั้งนี้ ตามการประมาณการของ LSEG คาดการณ์ว่า กำไรของ AMD ในปี 2025 จะอยู่ที่ 2.68 ดอลลาร์ต่อหุ้น
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม AMD ได้ลงนามในข้อตกลงระยะยาวกับ OpenAI (เจ้าของ ChatGPT) ซึ่งจะนำมาซึ่งรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าข้อตกลงนี้ไม่น่าจะกระทบการครองตลาดชิป AI ของ Nvidia แต่มันก็ถูกมองเป็นการสนับสนุน AMD ครั้งใหญ่ และเมื่อบวกกับการคาดการณ์ทางการเงินที่เป็นบวกล่าสุด ก็น่าจะช่วยบรรเทาความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความสามารถของ AMD ได้ ทั้งนี้ หุ้น AMD ได้ปรับตัวขึ้นแล้ว 16% นับจากวันที่ลงนามกับ OpenAI
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าบรรดาบริษัทบิ๊กเทคจัดสรรเงินไว้สูงมากสำหรับการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับ AMD เองก็กำลังเร่งการลงทุนด้าน AI เช่นกัน ลิซ่า ซู ถึงกับบอกว่า AMD กำลังสร้างเครื่องจักรควบรวมและซื้อกิจการ (M&A)
เมื่อเร็วๆ นี้ AMD ซื้อกิจการที่เกี่ยวกับ AI หลายธุรกรรม รวมถึงบริษัทเซิร์ฟเวอร์ ZT Systems และบริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง และเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนก็เพิ่งซื้อ MK1 บริษัทสตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ ที่เชี่ยวชาญด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการประมวลผล AI
มัต ไฮน์ (Mat Hein) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ AMD บอกว่า แผนการซื้อกิจการคือการทำให้แน่ใจว่า AMD สามารถเข้าถึงซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมและบุคลากรที่จำเป็นในการสร้างขีดความสามารถด้าน AI ของตนเอง โดยจะเดินหน้าซื้อกิจการบริษัทซอฟต์แวร์ AI ขนาดเล็กต่อไป
ฝั่งผู้เล่นจากเอเชีย อย่าง ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) หรือ ‘หงไห่’ ของไต้หวัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับจ้างประกอบชิปให้ Nvidia เพิ่งรายงานกำไรในไตรมาส 3 ปี 2025 สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดย Foxconn มีกำไรสุทธิ 75,670 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อนหน้า ขณะที่วิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 51,000 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
ดีมานด์การประกอบเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI (AI Server) ผลักดันให้รายได้ของ Foxconn เติบโตเป็นเลขสองหลักตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา (ฤดูร้อนไต้หวันเริ่มเดือนมิถุนายน) และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อไป ทั้งนี้ รายได้รายเดือนของ Foxconn เมื่อเดือนตุลาคม อยู่ที่ 2.06 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 11.3% สอดคล้องกับการคาดการณ์ และคาดว่ารายได้จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้าย โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้น 15%
ราคาหุ้นของ Foxconn พุ่งขึ้นมากกว่า 30% ในปีนี้ จากความหวังที่ผูกโยงกับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง Foxconn กับ Nvidia ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำต่างแข่งขันกันเพื่อคว้าฮาร์ดแวร์ของ Nvidia และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับศูนย์ข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้สามารถแข่งขันในตลาดเทคโนโลยี AI ที่กำลังเติบโตได้ ความตื่นตัวเหล่านี้ส่งผลดีต่อ Foxconn และบริษัทรับผลิตเซิร์ฟเวอร์หลายบริษัทในไต้หวัน
ส่วนฝั่ง อินฟินีออน (Infineon Technologies) บริษัทชิปจากเยอรมนีซึ่งเดิมพึ่งพาตลาดชิปยานยนต์ถึงครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด ก็ได้ดีมานด์จากศูนย์ข้อมูล AI เข้ามาช่วยรับมือกับแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอของตลาดยานยนต์
Infineon คาดการณ์ว่ารายได้ในปีงบการเงิน 2025 ซึ่งสิ้นสุดในเดือนกันยายนจะเติบโตปานกลาง และคาดการณ์ว่า รายได้จะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปีงบการเงิน 2026 เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกส่งผลให้แนวโน้มยอดขายของบริษัทสูงขึ้น
Infineon คาดการณ์รายได้จากธุรกิจชิป AI เพิ่มขึ้นประมาณ 50% จากการคาดการณ์ในไตรมาสก่อนหน้า โดยโยเคิน ฮาเนเบ็ค (Jochen Hanebeck) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Infineon บอกว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านยูโรในปีงบฯ 2026 จาก 600 ล้านยูโรในปีงบฯ 2025
“การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเราคาดว่าจะเติบโตอย่างมาก” ฮาเนเบ็คกล่าว