
กระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศของรัฐบาลตาลีบันเปิดเผยว่า อัฟกานิสถานได้ใช้ตัวกรองเพื่อจำกัดเนื้อหาบางประเภทบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook, Instagram และ X รวมถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วย
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอัฟกานิสถานบ่นถึงการเข้าถึงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างจำกัดในหลายจังหวัดตั้งแต่วันอังคารที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ชายคนหนึ่งที่ทำงานในสำนักงานรัฐบาลในจังหวัดนังการ์ฮาร์ ทางตะวันออก บอกกับ BBC ว่า เขาเปิด Facebook ได้ แต่ดูรูปภาพหรือเล่นวิดีโอไม่ได้ อีกทั้งสัญญานอินเทอร์เน็ตยังช้ามาก บางส่วนไม่สามารถเข้าถึงบัญชีโซเชียลมีเดียบน Facebook และ Instagram ได้เลย
โฆษกของผู้ว่าการตาลีบันในเมืองบัลค์ เขียนบน X เมื่อต้นเดือนนี้ว่า การห้ามใช้อินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออปติกมีจุดประสงค์เพื่อยับยั้ง "ความชั่วร้าย" เขากล่าวเสริมว่า ทางการจะพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก พร้อมขู่ว่าทางรัฐบาลไม่อยากให้ไปถึงในจุดที่ต้องตัดอินเทอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าโพสต์ประเภทใดที่จะถูกคัดกรองบ้าง
NetBlocks องค์กรเฝ้าระวังที่ตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต ระบุว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram, Facebook และ Snapchat ถูกจำกัดการใช้งานจากผู้ให้บริการหลายรายในอัฟกานิสถาน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลตัดสัญญาณโทรคมนาคมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นมาตรการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตล่าสุดที่กลุ่มตาลีบันบังคับใช้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไฟฟ้าดับนาน 48 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเที่ยวบินในกรุงคาบูล สนามบินหลักของอัฟกานิสถานต้องหยุดให้บริการชั่วคราว การสื่อสารภายในอัฟกานิสถานและออกไปสู่โลกกว้างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับการเข้าถึงบริการฉุกเฉินมีจำกัด รวมถึงธนาคารและระบบการชำระเงินออนไลน์ทั่วประเทศ
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในบางจังหวัด แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อกรุงคาบูลกระทั่งวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยมีผู้คนหลายคนบอกกับ BBC ว่า อินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออปติกของพวกเขาหยุดทำงานเมื่อใกล้จะสิ้นสุดวันทำงาน ประมาณ 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น และในวันอังคาร หลายคนทั่วประเทศตื่นขึ้นมาพบว่าบริการที่จำเป็นต่างๆ ถูกระงับ
ผู้อยู่อาศัยหลายคนซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อเคยบอกกับ BBC ว่า ธุรกิจและชีวิตของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากการตัดอินเทอร์เน็ต
นาจิบุลลาห์ เจ้าของร้านค้าวัย 42 ปีในกรุงคาบูล บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ชาวบ้านรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้ตาบอดเมื่อไม่มีโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ธุรกิจของพวกเขาทั้งหมดขึ้นอยู่กับโทรศัพท์มือถือ การจัดส่งก็ใช้โทรศัพท์มือถือ บรรยากาศเหมือนกับวันหยุด ทุกคนอยู่บ้าน ตลาดก็เงียบเหงาไปหมด
นักข่าวคนหนึ่งในกรุงคาบูลบอกกับ BBC ว่า พวกเขาไม่สามารถโทรหรือติดต่อแขกที่มาสัมภาษณ์ได้เลย และจำเป็นต้องส่งทีมงานถ่ายทำไปที่บ้านของผู้เข้ารับการสัมภาษณ์โดยตรง พร้อมเปิดเผยว่า “พวกเขาไม่เคยประสบกับสิ่งเช่นนี้มาก่อน” ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พวกเขาสูญเสียการติดต่อกับสำนักงานในกรุงคาบูล อินเทอร์เน็ตบนมือถือและทีวีดาวเทียมก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วประเทศเช่นกัน
การเข้าถึงการศึกษาออนไลน์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กที่อาจถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น ซึ่งสิทธิของพวกเขาถูกละเมิดอย่างรุนแรงตั้งแต่กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงกลับมามีอำนาจอีกครั้งในปี 2021
สตรีชาวอัฟกันบอกกับ BBC ว่า อินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนเส้นชีวิตที่เชื่อมโยงโลกภายนอกเข้ากับโลกภายนอกนับตั้งแต่กลุ่มตาลีบันสั่งห้ามเด็กหญิงที่มีอายุมากกว่า 12 ปีเข้ารับการศึกษา เมื่ออินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียถูกจำกัด เธอก็ไม่สามารถเข้าเรียนออนไลน์ได้เนื่องจากอินเทอร์เน็ตที่บ้านถูกตัด “ฉันเคยหวังว่าจะเรียนจบและหางานออนไลน์ได้ แต่ความฝันนั้นก็พังทลายลง” เธอกล่าว “ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
ชายคนหนึ่งที่ทำงานเป็นพนักงานแลกเงินในจังหวัดทาคาร์กล่าวว่า ชั้นเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ของลูกสาวต้องหยุดชะงัก เขาเล่าว่า “โอกาสสุดท้ายของพวกเธอในการเรียนหนังสือและมีส่วนร่วมกับสังคมได้หมดลงแล้ว”
ขณะที่นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งบอกกับบีบีซีว่า เธอ "ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียนออนไลน์" หลังจากที่หลักสูตรการผดุงครรภ์ของเธอถูกสั่งห้าม "ตอนที่ฉันได้ยินว่าอินเทอร์เน็ตถูกตัด โลกก็มืดมนสำหรับฉัน"
หลังจากกลุ่มตาลีบันเข้ายึดอำนาจในอัฟกานิสถานเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2021 ได้มีการออกคำสั่งและข้อจำกัดต่างๆ ที่ส่งผลกระทบและลิดรอนสิทธิของผู้หญิงและเด็กหญิงอย่างรุนแรงและเป็นระบบในเกือบทุกด้านของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการศึกษา
มีคำสั่งห้ามเด็กหญิงเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา หรือ เกินชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทำให้อัฟกานิสถานเป็นประเทศเดียวในโลกที่จำกัดสิทธิการศึกษาของเด็กหญิงในระดับนี้ แน่นอนว่า ไม่ต้องพูดถึงการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย คำสั่งของตาลีบันส่งผลให้นักศึกษาหญิงจำนวนมากต้องยุติการเรียนกลางคัน และอาจารย์หญิงจำนวนมากถูกห้ามทำงาน แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะจำกัดแค่สาขาวิชาที่ผู้หญิงสามารถลงทะเบียนเรียนได้ แต่ท้ายที่สุดก็มีคำสั่งห้ามเรียนมหาวิทยาลัย
นอกจากด้านการศึกษาแล้ว สิทธิในการทำงานและประกอบอาชีพของผู้หญิงก็ถูกจำกัดเช่นกัน ตาลีบันสั่งห้ามผู้หญิงทำงานในภาครัฐเกือบทั้งหมด ยกเว้นในบางส่วน เช่น หน่วยงานการศึกษาขั้นพื้นฐานและสาธารณสุข แต่ก็ยังมีการจำกัดอย่างมาก
ที่สำคัญ ยังสั่งห้ามผู้หญิงทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานของสหประชาชาติ (UN) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมไปถึงการสั่งปิดธุรกิจและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงโดยเฉพาะ เช่น ร้านเสริมสวยและสถานบริการอื่น ๆ ที่ให้บริการผู้หญิงโดยเฉพาะ ห้ามผู้หญิงเข้าถึงพื้นที่สาธารณะบางแห่ง เช่น สวนสาธารณะ โรงยิม และโรงอาบน้ำสาธารณะ
การลิดรอนสิทธิยังแผ่ขยายไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนจากข้อจำกัดด้านการเดินทาง เนื่องจากพวกเขาถูกห้ามเดินทางในระยะทางไกล เกิน 72-75 กิโลเมตร โดยไม่มี "มะฮ์รอม" (Mahram) หรือญาติผู้ชายติดตามไปด้วย ทำให้ผู้หญิงถูกจำกัดการเข้าถึงบริการที่จำเป็น รวมถึงการดูแลสุขภาพ รวมไปถึงห้ามผู้หญิงขี่จักรยานหรือรถจักรยานยนต์
ข้อจำกัดเหล่านี้ มุ่งหมายไม่ให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองและสังคม เช่น การพูดในที่สาธารณะ การปรากฏตัวในสื่อ ยกเว้นนักข่าวภายใต้ข้อจำกัด โดยมีการนำโทษทางศาสนาที่รุนแรงมาใช้: เช่น การเฆี่ยนตีและการปาหินในที่สาธารณะสำหรับข้อกล่าวหาเรื่องการผิดประเวณี หรือ คบชู้ ปัจจุบัน มีรายงานว่า เกิดวิกฤตสุขภาพจิตกับผู้หญิงและเด็กหญิงจำนวนมาก จากความวิตกกังวล สิ้นหวัง และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น
การจำกัดเหล่านี้ได้ส่งผลให้สิทธิของผู้หญิงและเด็กหญิงถูกลิดรอนในลักษณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติประณามว่าเป็นการการกดขี่ทางเพศสภาพ (Gender Persecution) และเป็นการลบผู้หญิงออกจากการใช้ชีวิตสาธารณะโดยสมบูรณ์