เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ฮามาสเดินทางถึงอียิปต์เพื่อเจรจากับอิสราเอล สหรัฐฯ คาดหวังว่าการเจรจาครั้งนี้จะช่วยยุติการสู้รบที่ดำเนินมายาวนาน และนำไปสู่การปล่อยตัวประกันในกาซาได้
คณะเจรจาของอิสราเอลนำโดยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการยุทธศาสตร์ รอน เดอร์เมอร์ มีกำหนดเดินทางถึงอียิปต์วันนี้ (จันทร์ที่ 6 ตุลาคม) และจะเจรจากับคณะเจ้าหน้าที่ฮามาสที่เมืองชาร์ม เอล ชีค (Sharm el-Sheikh)
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวกับรายการ Meet the Press ของสถานีโทรทัศน์ NBC ถึงการเจรจาเพื่อช่วยเหลือตัวประกันครั้งนี้เมื่อวานนี้
“เราจะรู้ได้ทันทีว่าฮามาสจริงจังหรือไม่ ก็ต่อเมื่อการเจรจาทางเทคนิคครั้งนี้คุยเกี่ยวกับเงื่อนไขของการเคลื่อนย้ายประชากร” รูบิโอกล่าว
ต่อมาในวันเดียวกัน ทรัมป์กล่าวว่าการเจรจาคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
“ผมได้รับรายงานว่า ขั้นตอนแรกจะเสร็จสิ้นภายในอาทิตย์นี้ และผมกำลังขอให้ทุกคนเร่งมือเข้า” ทรัมป์โพสต์ลงบนสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social โดยขั้นตอนแรกที่ทรัมป์กล่าวถึง คือการแลกตัวประกันอิสราเอลที่ฮามาสจับกุมไว้กับนักโทษปาเลสไตน์ที่อิสราเอลคุมขัง
ด้านคณะเจรจาของฮามาสนำโดย คาลิล อัล-ฮัยยา หัวหน้ากลุ่มฮามาสในกาซาที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ เขาเดินทางถึงอียิปต์เมื่อคืนนี้ และเป็นการเดินทางไปอียิปต์ครั้งแรกนับตั้งแต่เขารอดชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลในกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เมื่อเดือนที่แล้ว
ทรัมป์ได้ผลักดันแผน 20 ข้อ มุ่งยุติสงครามในกาซา และปล่อยตัวประกันที่เชื่อว่ายังรอดชีวิตอยู่ 20 คน แผนนี้ได้รับความเห็นชอบจากทั้งอิสราเอลและฮามาสในบางส่วน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ฮามาสยอมรับข้อเสนอการปล่อยตัวประกัน และข้อเสนออื่นบางส่วน แต่ก็ปฏิเสธบางข้อ อาทิ ข้อเรียกร้องให้ปลดอาวุธ ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มฮามาสยืนยันมาตลอด
ทรัมป์ตอบรับอย่างยินดีกับการตอบรับข้อเสนอครั้งนี้ของฮามาส กล่าวว่า ฮามาสแสดงให้เห็นแล้วว่าพร้อมสำหรับสันติภาพที่ยั่งยืน และเรียกร้องให้อิสราเอลหยุดทิ้งระเบิดในกาซาทันที อย่างไรก็ตาม การโจมตีในฉนวนกาซายังดำเนินต่อไป
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าว Reuters ว่าการเจรจาในอียิปต์จะมุ่งเน้นไปที่การจัดทำข้อตกลงแบบครบวงจร ก่อนที่จะสามารถบังคับใช้การหยุดยิงได้
“รอบนี้แตกต่างจากการเจรจารอบก่อน ๆ ที่ใช้แนวทางแบบแบ่งเป็นขั้นตอน โดยที่ตกลงกันเฉพาะขั้นตอนแรก แล้วต้องมีการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อไปสู่ขั้นตอนถัดไปของการหยุดยิง [...] รอบการเจรจาครั้งต่อ ๆ มานี่เองที่เป็นจุดล้มเหลวก่อนหน้านี้ และผู้ไกล่เกลี่ยก็ตระหนักแล้วว่ารอบนี้ต้องหลีกเลี่ยงแนวทางแบบนั้น” เจ้าหน้าที่กล่าว
รูบิโอกล่าวในรายการ This Week ของสถานี ABC ว่า ยังไม่แน่ชัดว่าข้อตกลงการปล่อยตัวประกันจะได้ข้อสรุปเมื่อใด แต่ย้ำว่าการเจรจา “ไม่สามารถใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือแม้แต่หลายวันได้ เราต้องการให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก”
แม้ว่าแผนการเจรจาครั้งนี้จะจุดความหวังเรื่องสันติภาพในหมู่ชาวปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังเร่งโจมตีกาซาต่อเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เครื่องบินและรถถังยังคงโจมตีพื้นที่ทั่วทั้งเขต ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน ตามรายงานของหน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่น
ในจำนวนผู้เสียชีวิตนั้น มี 4 คนที่กำลังไปขอรับความช่วยเหลือในตอนใต้ของเขต และอีก 5 คนเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศในเมืองกาซาช่วงบ่าย
อาห์เหม็ด อัสซาด ชาวปาเลสไตน์ที่พลัดถิ่นในตอนกลางของกาซา กล่าวว่า เขารู้สึกมีความหวังเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับแผนของทรัมป์ แต่สถานการณ์บนพื้นดินก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
“เราไม่เห็นว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไป ตรงกันข้าม เรายังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ เราควรอยู่บนถนนต่อไปไหม หรือเราควรหนีไปดี” เขากล่าว
สัญญาณที่ดีปรากฏในอิสราเอลเช่นกัน ค่าเงินเชเกลแข็งค่าสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และตลาดหุ้นเทลอาวีฟก็แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ชาวเมืองเทลอาวีฟบางคนรู้สึกคล้ายกัน กิล เชลลี ชาวเมืองเทลอาวีฟคือหนึ่งในนั้น
“นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ฉันรู้สึกมีความหวังจริง ๆ ทรัมป์ทำให้เรามีความหวังมาก” เขากล่าว
แต่แม้ประชาชนอิสราเอลจะคาดหวังจุดสิ้นสุดของสงคราม นักการเมืองสายขวาจัดกลับต้องการให้สงครามดำเนินต่อไป
เบอซาเลล สมอทริช รัฐมนตรีคลังสายขวาจัด กล่าวใน X ว่าการหยุดโจมตีกาซาจะเป็น “ความผิดพลาดร้ายแรง” เขาและอิตามาร์ เบน-กวิร์ รัฐมนตรีความมั่นคง ได้ขู่จะโค่นล้มรัฐบาลของเนทันยาฮู หากสงครามกาซายุติลง
ประธานาธิบดีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กำลังเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นให้ยุติสงคราม ทั้งจากชาวอิสราเอลและครอบครัวตัวประกันที่กดดันให้ยุติสงครามยาวนานนี้เสียที ขณะเดียวกันก็ต้องรับแรงกดดันจากสมาชิกกลุ่มขวาจัดในรัฐบาลผสม ที่ยืนยันว่าจะต้องไม่มีการลดระดับปฏิบัติการทางทหารในกาซา
อย่างไรก็ตาม ยาอีร์ ลาพิด ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคเยช อาทิด นักการเมืองสายกลาง สนับสนุนแนวทางของทรัมป์ กล่าวว่า ฝ่ายตนจะให้ “ความคุ้มครองทางการเมือง” เพื่อให้แผนของทรัมป์ประสบความสำเร็จ และ “เราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำลายข้อตกลงนี้”