
หากจะชี้เพียงหนึ่งเทรนด์ที่โดดเด่นที่สุดของตลาดแรงงานในปี 2568 คงหนีไม่พ้นกระแสการปลดพนักงานครั้งใหญ่ในภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่และองค์กรขนาดใหญ่ทยอยประกาศเลิกจ้างแรงงานนับแสนตำแหน่ง ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย ต้นทุนที่พุ่งสูงจากมาตรการภาษี และความจำเป็นในการเร่งลดค่าใช้จ่าย ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นคำอธิบายหลักของการปรับโครงสร้างแรงงานระลอกนี้
ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา Challenger, Gray & Christmas ระบุว่า ตลอดปี 2568 มีการประกาศปลดพนักงานรวม 1.17 ล้านตำแหน่ง สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ซึ่งในขณะนั้นมีการประกาศเลิกจ้างรวม 2.2 ล้านตำแหน่งภายในสิ้นปี
เฉพาะในปีนี้ AI ถูกระบุว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของการเลิกจ้างเกือบ 55,000 ตำแหน่งในสหรัฐฯ โดยในเดือนตุลาคมเพียงเดือนเดียว นายจ้างประกาศปลดพนักงานถึง 153,000 ตำแหน่ง และในเดือนพฤศจิกายนอีกกว่า 71,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่า 6,000 ตำแหน่งเชื่อมโยงกับการนำ AI มาใช้โดยตรง
ท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนที่ถาโถม ทั้งเงินเฟ้อและภาษีนำเข้า AI ถูกมองว่าเป็น “ทางออกระยะสั้น” ที่ช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็ว งานวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ที่เผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายน ระบุว่า AI สามารถทำงานแทนแรงงานในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้แล้วถึง 11.7% และอาจช่วยเหล่าบริษัทใหญ่ประหยัดค่าจ้างรวมสูงสุดถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ครอบคลุมตั้งแต่ภาคการเงิน การแพทย์ ไปจนถึงบริการวิชาชีพอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางส่วนมองต่างมุม ฟาเบียน สเตฟานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้าน AI และการทำงานจาก Oxford Internet Institute ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า AI อาจถูกใช้เป็น “ข้ออ้าง” มากกว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเลิกจ้าง
สเตฟานีชี้ว่าหลายบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงโควิดได้ “จ้างงานเกินความจำเป็นอย่างมีนัยสำคัญ” และการปลดพนักงานในปัจจุบันอาจเป็นเพียงการ “เคลียร์ตลาดแรงงาน” มากกว่าการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีโดยตรง โดยเป็นการตัดคนที่ไม่สอดคล้องกับแผนระยะยาว แทนที่จะยอมรับว่าการประเมินกำลังคนในอดีตผิดพลาด
Amazon สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม หลังประกาศปลดพนักงานระดับองค์กรถึง 14,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการเลิกจ้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท การปรับลดครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการประกาศเดินหน้าลงทุนใน “การเดิมพันครั้งใหญ่” ของ Amazon ซึ่งรวมถึง AI เป็นหัวใจสำคัญ
เบธ กาเล็ตติ รองประธานอาวุโสฝ่ายประสบการณ์บุคลากรและเทคโนโลยี ระบุในบล็อกของบริษัทว่า AI รุ่นปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลกมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคอินเทอร์เน็ต และเปิดโอกาสให้บริษัทสร้างนวัตกรรมได้รวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า นั่นทำให้ Amazon ต้องจัดโครงสร้างองค์กรให้คล่องตัวขึ้น ลดลำดับชั้น และเพิ่มความรับผิดชอบในระดับทีม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า
ก่อนหน้านี้ ซีอีโอ แอนดี แจสซี ได้ส่งสัญญาณถึงพนักงานแล้วว่า AI จะทำให้ขนาดกำลังคนของบริษัทลดลง โดย Amazon จะต้องการ “คนน้อยลงในบางงานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และต้องการคนมากขึ้นในงานรูปแบบอื่น” สะท้อนการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของแรงงานภายในองค์กร
Microsoft เป็นอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่เดินหน้าปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยตลอดปี 2568 บริษัทปลดพนักงานรวมแล้วราว 15,000 ตำแหน่ง การประกาศครั้งล่าสุดในเดือนกรกฎาคมตัดตำแหน่งงานเพิ่มอีก 9,000 ตำแหน่ง
สัตยา นาเดลลา ซีอีโอของ Microsoft ระบุในบันทึกถึงพนักงานว่า บริษัทจำเป็นต้อง “จินตนาการใหม่” ถึงภารกิจขององค์กรในยุค AI โดยเน้นว่าการเสริมพลังในยุคใหม่นี้ ไม่ได้หมายถึงการสร้างเครื่องมือเฉพาะงานหรือเฉพาะตำแหน่งอีกต่อไป แต่คือการสร้างแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างเครื่องมือของตนเองได้ การเปลี่ยนผ่านจาก “โรงงานซอฟต์แวร์” ไปสู่ “เครื่องยนต์อัจฉริยะ” จึงกลายเป็นแกนหลักของยุทธศาสตร์ และเป็นเหตุผลสำคัญของการปรับลดแรงงาน
ในปี 2568 Salesforce ยอมรับอย่างตรงไปตรงมามากขึ้นเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในบริษัท โดยมาร์ก เบนิโอฟฟ์ ซีอีโอของบริษัท ได้ออกมายืนยันในเดือนกันยายนว่า Salesforce ได้ลดพนักงานฝ่ายบริการลูกค้าไปแล้ว 4,000 คน โดยอาศัย AI เข้ามาทดแทนการทำงาน
เบนิโอฟฟ์เปิดเผยว่า จำนวนพนักงานฝ่ายดังกล่าวลดลงจาก 9,000 คน เหลือราว 5,000 คน เนื่องจาก “ต้องการคนจำนวนน้อยลง” หลัง AI สามารถรับภาระงานได้แล้วถึง 50% ของทั้งองค์กร สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของธุรกิจซอฟต์แวร์ด้านบริการลูกค้าอย่างชัดเจน
IBM เลือกใช้แนวทางที่แตกต่างจากหลายบริษัท อาร์วินด์ คริชนา ซีอีโอของ IBM เปิดเผยกับ Wall Street Journal ในเดือนพฤษภาคมว่า แชตบอต AI ได้เข้ามาทำงานแทนพนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลไปแล้วหลายร้อยตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม คริชนายอมรับว่า IBM ได้เพิ่มการจ้างงานในสายงานที่ต้องใช้การคิดเชิงวิพากษ์และความเชี่ยวชาญสูง เช่น วิศวกรรมซอฟต์แวร์ การขาย และการตลาด สะท้อนความพยายามในการปรับสมดุลระหว่างการใช้ AI กับการลงทุนในทักษะแรงงานขั้นสูง แม้ในเดือนพฤศจิกายน บริษัทจะยังประกาศลดพนักงานทั่วโลก 1% ซึ่งอาจกระทบพนักงานเกือบ 3,000 คนก็ตาม
CrowdStrike บริษัทซอฟต์แวร์ด้านความมั่นคงไซเบอร์ ระบุในเดือนพฤษภาคมว่า จะเลิกจ้างพนักงาน 5% ของกำลังคน หรือราว 500 คน โดยชี้ชัดว่า AI เป็นปัจจัยโดยตรงของการตัดสินใจครั้งนี้
จอร์จ เคิร์ตซ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ เขียนในบันทึกที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับว่า AI เป็นรากฐานของการดำเนินงานของบริษัทมาโดยตลอด เทคโนโลยีนี้ช่วยลดอัตราการจ้างงานในระยะยาว ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากแนวคิดสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ปรับปรุงผลลัพธ์ให้ลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในส่วนหน้าบ้านและหลังบ้าน โดยเคิร์ตซ์นิยาม AI ว่าเป็น “แรงทวีคูณ” ของทั้งธุรกิจ
Workday แพลตฟอร์มด้านทรัพยากรบุคคล เป็นหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ของปีที่ประกาศลดพนักงาน โดยในเดือนกุมภาพันธ์บริษัทได้ตัดกำลังคนลง 8.5% หรือประมาณ 1,750 ตำแหน่ง
คาร์ล เอสเชนบัค ซีอีโอของ Workday ระบุว่า การเลิกจ้างมีความจำเป็นเพื่อจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนด้าน AI และเพื่อปลดล็อกทรัพยากรสำหรับการเติบโตในอนาคต ภาพสะท้อนจาก Workday ตอกย้ำว่า แม้จะเป็นผู้ให้บริการโซลูชัน HR เอง แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงแรงกดดันของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ได้
การเลิกจ้างในปี 2568 จึงไม่ได้เป็นเพียงวัฏจักรของการลดต้นทุน แต่สะท้อนการเปลี่ยนโฉมของตลาดแรงงานโลก เมื่อ AI กำลังก้าวจากเครื่องมือสนับสนุน ไปสู่ปัจจัยกำหนดโครงสร้างองค์กร และบทบาทของแรงงานมนุษย์ในเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้