
ดร. วิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ จะเดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (ASEAN) นัดพิเศษ ในวันนี้ (22 ธันวาคม 2568) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างประเทศกัมพูชาและประเทศไทย
กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ (MFA) ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ว่า การประชุมครั้งนี้จะมีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเป็นประธานการประชุม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของกลุ่มอาเซียนในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุเพิ่มเติมว่า สิงคโปร์ยังคงมีความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สิงคโปร์ยินดีต่อความพยายามของประธานอาเซียน พันธมิตรภายนอก รวมถึงกลไกทวิภาคีใด ๆ ที่ทั้งกัมพูชาและไทยเห็นพ้องต้องกัน เพื่อลดระดับความขัดแย้งภายใต้จิตวิญญาณแห่งความสามัคคีของอาเซียนและความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
ในการเดินทางครั้งนี้ ดร. บาลากริชนัน จะมีคณะเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศร่วมเดินทางไปด้วย การประชุมนัดพิเศษในวันจันทร์นี้ ซึ่งมีนายโมฮาหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียเป็นประธาน ถือเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากข้อตกลงที่ทำขึ้นโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และผู้นำระดับเดียวกันจากไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัจจุบัน มาเลเซียดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ซึ่งฟิลิปปินส์จะเข้ารับตำแหน่งต่อในเดือนมกราคมปีหน้า
ก่อนหน้านี้ในเดือนเดียวกัน สิงคโปร์ได้เรียกร้องให้ทั้งประเทศไทยและกัมพูชาใช้ความอดกลั้น และแก้ไขความขัดแย้งผ่านการเจรจาเจ้าหน้าที่ระบุว่า การสู้รบที่ปะทุขึ้นอีกครั้งระหว่างไทยและกัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 22 รายในไทย และ 19 รายในกัมพูชา
ด้านรัฐบาลกัมพูชาเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า ชาวกัมพูชากว่า 500,000 คน ต้องพลัดถิ่นจากที่อยู่อาศัยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณชายแดนติดกับประเทศไทย
สำนักข่าว CNA รายงานว่า ความตึงเครียดได้ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนกรกฎาคม หลังจากทหารกัมพูชารายหนึ่งเสียชีวิตระหว่างการยิงปะทะกันในช่วงสั้น ๆ นำไปสู่การสู้รบนานถึง 5 วัน ต่อมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้เข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง และกับการลดกำแพงภาษีกับทั้งสองประเทศลง ซึ่งทำให้การสู้รบยุติลงชั่วคราว ก่อนที่จะมีการฉีกข้อตกลงสันติภาพและกลับมาปะทะรุนแรงอีกครั้งตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศไทยและกัมพูชามีกำหนดเข้าร่วมการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการพบปะกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศนับตั้งแต่การสู้รบปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม
รอยเตอร์สรายงานว่า รัฐบาลไทยและกัมพูชาต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่ากระทำการที่นำไปสู่การล่มสลายของข้อตกลงหยุดยิงในเดือนกรกฎาคม และข้อตกลงสันติภาพของทรัมป์ การปะทะกันด้วยอาวุธปืนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่พิพาทที่ยืดเยื้อมานานตามแนวชายแดนทางบกยาว 817 กิโลเมตร ตั้งแต่พื้นที่ป่าในแผ่นดินใกล้ลาวไปจนถึงจังหวัดชายฝั่ง
นอกเหนือจากการผลักดันสันติภาพในระดับภูมิภาคแล้ว สหรัฐฯ และจีนยังได้ดำเนินความพยายามทางการทูตแยกกันเพื่อยุติความขัดแย้ง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณของความสำเร็จใด ๆ
กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียแถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า การประชุมอาเซียน ซึ่งมีนายโมฮาหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียเป็นประธาน จะพิจารณามาตรการที่อาเซียนสามารถดำเนินการเพื่อช่วยลดความตึงเครียดและยุติการสู้รบ
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย แสดงความหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะช่วยให้ไทยและกัมพูชาสามารถเจรจาอย่างเปิดเผย แก้ไขความขัดแย้ง และบรรลุทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืนได้ โดยเขาโพสต์ใน X ระบุว่า "ผมเน้นย้ำถึงความสำคัญที่กัมพูชาและไทยต้องยึดมั่นในจิตวิญญาณแห่งการเจรจา สติปัญญา และความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อยุติความตึงเครียดและรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้" พร้อมเสริมว่าเขาได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศแล้ว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายอันวาร์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เขามี "ความหวังในแง่ดี แต่ก็ยังระมัดระวัง" เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการประชุม พร้อมเสริมว่านายกรัฐมนตรีรักษาการของไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา นายฮุน มาเนต ต่างกระตือรือร้นที่จะบรรลุข้อตกลงอย่างสันติโดยเร็วที่สุด
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยได้โจมตีทางอากาศใส่ที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา และระงับการขนส่งเชื้อเพลิงผ่านด่านชายแดนลาว เนื่องจากเกรงว่าเชื้อเพลิงเหล่านั้นอาจถูกลักลอบนำไปกัมพูชา ขณะที่กองทัพไทยระบุว่ากัมพูชาใช้โดรนทิ้งระเบิดใส่ฐานทัพไทยและยิงจรวดใส่พื้นที่พลเรือน
นายอันวาร์โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า ทีมงานอาเซียนจะนำเสนอผลการสังเกตการณ์ภาคสนามและข้อมูลที่ได้จากเทคโนโลยีการตรวจสอบด้วยดาวเทียมซึ่งสหรัฐฯ จัดหาให้แก่รัฐมนตรีต่างประเทศ