
ใครครองน่านฟ้าในโลกนี้? เปิด 10 อันดับประเทศระดับท็อป ที่มี "กำลังรบทางอากาศแข็งแกร่งที่สุด" ปี 2025
สภาวะภูมิรัฐศาสตร์โลกในปี 2025 ตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังรบทางอากาศกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยชี้ขาดความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ ที่ไม่เพียงแค่วัดกันด้วยจำนวนเครื่องบิน แต่ยังรวมถึงความล้ำสมัยของเทคโนโลยีระบบไร้คนขับ (UAS) การบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) และขีดความสามารถในการทำสงครามที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง
Global Firepower (GFP) จัดอันดับ ที่สุดแห่งกองทัพอากาศที่มีกำลังรบทางอากาศ ในปี 2025 ซึ่งไม่เพียงแค่นับจำนวนอากาศยานในคลัง แต่ยังพิจารณาถึงสัดส่วนของเครื่องบินขับไล่ (Fighters) เครื่องบินโจมตี (Attack) เครื่องบินลำเลียง (Transports) เครื่องบินฝึก (Trainers) และเฮลิคอปเตอร์ (Helicopters) รวมถึงเครื่องบินภารกิจพิเศษ (Special-Mission) เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงขีดความสามารถในการขยายอำนาจการรบในระดับโลก จากทั้งหมด 145 ประเทศทั่วโลก โดยอมรินทร์ออนไลน์ ขอยก 10 ประเทศที่มี "เขี้ยวเล็บทางอากาศ" น่าเกรงขามที่สุดในปัจจุบัน มาดังนี้
จำนวนอากาศยานรวม : 13,043
สหรัฐอเมริกายังคงครองอันดับ 1 อย่างเหนียวแน่นในทุกสถาบันด้านการทหาร รวมถึงการรักษาตำแหน่งมหาอำนาจทางอากาศอันดับหนึ่งของโลกไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยงบประมาณกลาโหมที่สูงถึงเกือบ 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐฯ ไม่เพียงแต่เน้นที่การรักษาสมรรถนะของฝูงบินที่มีอยู่ แต่กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ภายใต้นโยบาย Unleashing U.S. Military Drone Dominance ยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DoD) และทำเนียบขาว ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นผู้นำด้านโดรน (UAS) โดยการปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้าง เร่งการพัฒนาเทคโนโลยีโดรนของสหรัฐฯ เพิ่มขีดความสามารถทางทหารด้วยโดรนต้นทุนต่ำ และฝึกฝนกองทัพให้ใช้โดรนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบเลเยอร์ (Layered Capability) เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียและจีน มีการสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อย่าง F-35A และเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 อย่าง F-15EX เพื่อเป็นกำลังเสริมในระยะสั้น นอกจากนี้งบประมาณยังถูกจัดสรรให้กับการพัฒนาเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-21 Raider ซึ่งมีเป้าหมายในการผลิตอย่างน้อย 100 เครื่องเพื่อทดแทนรุ่นเก่าอย่าง B-1 และ B-2
จำนวนอากาศยานรวม : 4,292
รัสเซียยังคงรักษาอันดับสองในดัชนี GFP 2025 แม้จะเผชิญกับการคว่ำบาตรจากนานาชาติและความสูญเสียในสนามรบยูเครนอย่างต่อเนื่อง กำลังทางอากาศของรัสเซียถูกขับเคลื่อนด้วยปริมาณอากาศยานจำนวนมาก และความลึกซึ้งของระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ยากจะเจาะทะลุ โดยในปี 2025 มีการเร่งการผลิตเครื่องบินยุคที่ 5 อย่าง Su-57 และการอัปเกรดเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-160M เพื่อรักษาอำนาจในการป้องปรามเชิงรุก โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหารพิเศษ ยังคงถูกจัดลำดับความสำคัญไว้สูงสุด
ความแข็งแกร่งของรัสเซียอยู่ที่อากาศยานอย่าง Su-35S, MiG-31BM และ Su-57 Felon รวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล Tu-160 และ Tu-95 นอกจากนี้ยังมีการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ Su-34M อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเครื่องบินโจมตีที่มีพิสัยทำการไกลที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก
รัสเซียให้ความสำคัญกับการสร้างระบบป้องกันทางอากาศแบบเลเยอร์ ซึ่งประกอบด้วย S-400, S-500 Prometheus และระบบ Pantsir เพื่อสร้างโดมเหล็กเหนือพื้นที่ยูเรเชีย การพัฒนาขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและนิวเคลียร์ไตรภาค (Nuclear Triad) ยังคงเป็นแกนหลักของการป้องปรามเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งทำให้รัสเซียยังคงเป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามในสายตาของ NATO
จำนวนอากาศยานรวม : 3,309
จีนมีคะแนนดัชนี GFP 2025 ไล่เลี่ยกับรัสเซียอย่างมาก และในบางมิติจีนได้รับการยอมรับว่ามีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่าในด้านการสงครามข้อมูลและระบบไร้คนขับ โดยในปี 2025 จีนได้พัฒนาการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องบินขับไล่แบบมีคนขับ J-20 กับโดรนรุ่น Xuanlong-08 ซึ่งเป็นโดรนโจมตีแบบปีกบิน ที่ถูกเรียกว่าเป็น Loyal Wingman เป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบ คอยลาดตระเวน โจมตีเป้าหมาย หรือรับความเสี่ยงแทนนักบิน ทำให้การรบมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติได้อย่างมาก โดยเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ๆ อย่าง J-20 และ J-16 ถูกผลิตขึ้นภายในประเทศเกือบทั้งหมด ความสำเร็จที่สำคัญในปี 2025 คือการเริ่มการผลิตเครื่องลำเลียงยุทธศาสตร์ Y-20B ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ WS-20 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ High Bypass Turbofan ที่จีนพัฒนาขึ้นเองเพื่อทดแทนเครื่องยนต์ของรัสเซีย นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบเครื่องบินลำเลียงรุ่นใหม่ Y-30 ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกับ C-130J ของสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งกำลังบำรุงในพื้นที่ห่างไกล
จำนวนอากาศยานรวม : 2,229
ความสมดุลของฝูงบิน (เครื่องบินขับไล่, ฮีลิคอปเตอร์, และเครื่องบินลำเลียง) และการจัดซื้อ Rafale รวมถึงการพัฒนา Tejas Mk1A ในประเทศที่เริ่มเข้าประจำการเป็นจำนวนมาก
อินเดียยังรักษาตำแหน่งอันดับสี่ของโลกได้อย่างมั่นคง และกำลังพยายามลดช่องว่างกับจีนผ่านการปฏิรูปอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายใต้นโยบาย "Atmanirbhar Bharat" หรือการพึ่งพาตนเอง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นให้ประเทศพึ่งพาตนเองได้ในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า ส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ (Make in India) ผ่านมาตรการเช่น โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการผลิต (PLI Schemes) ดึงดูดการลงทุน และการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างงานและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอินเดียในเวทีโลก โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด-19
ในเดือนกันยายน 2025 กองทัพอากาศอินเดีย (IAF) ได้ขยายฝูงบิน Tejas และความท้าทายของจำนวนฝูงบิน ด้วยการสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่เบา LCA Tejas Mk-1A เพิ่มเติมอีก 97 เครื่อง มูลค่าประมาณ 6.2 หมื่นล้านรูปี (ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท) เพื่อก้าวขึ้นเป็นกระดูกสันหลังใหม่ของกองทัพ อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงเผชิญกับปัญหาจำนวนฝูงบินที่ลดลงเหลือเพียง 29 ฝูงบิน จากเป้าหมายที่ได้รับอนุมัติ 42 ฝูงบิน เนื่องจากการปลดประจำการเครื่องบินรุ่นเก่าอย่าง MiG-21 และ Jaguar
นอกจากนี้อินเดียได้แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถในการบูรณาการเทคโนโลยีจากทั้งตะวันตกและตะวันออก เช่น การใช้เครื่องบิน Rafale จากฝรั่งเศส ร่วมกับ Su-30MKI จากรัสเซีย และอาวุธปล่อยนำวิถี Astra ที่พัฒนาขึ้นเอง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขีดความสามารถในมหาสมุทรอินเดียด้วยการเข้าประจำการของเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือดำน้ำนิวเคลียร์รุ่นใหม่
จำนวนอากาศยานรวม : 1,592
เกาหลีใต้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับห้าของโลกในปี 2025 สะท้อนถึงการลงทุนอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายจากเกาหลีเหนือและการเปลี่ยนผ่านสู่อธิปไตยทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีโครงการเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 (หรือ 4.5+) รุ่น KF-21 Boramae คือหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์เกาหลีใต้ ในปี 2025 รัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณสำหรับการพัฒนาและผลิตจำนวนมากเกือบเท่าตัว จาก 1.3 ล้านล้านวอน เป็น 2.4 ล้านล้านวอน ทำให้กองทัพอากาศของเกาหลีใต้มีความทันสมัยอย่างก้าวกระโดด
รวมถึงยังลงทุน 7.5 ล้านล้านวอน สำหรับการพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยไกลรุ่นใหม่ที่มีสมรรถนะสูงกว่า AIM-120 AMRAAM ของสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริม "การป้องกันประเทศที่พึ่งพาตนเองได้" (Self-reliant Defense)
จำนวนอากาศยานรวม : 1,443
ญี่ปุ่นรักษาอันดับความแข็งแกร่งทางอากาศไว้ที่อันดับหกของโลก โดยมีการปรับเปลี่ยนนโยบายความมั่นคงจากการตั้งรับเพียงอย่างเดียวไปสู่การสร้างขีดความสามารถในการป้องปรามเชิงรุก ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนรอบคาบสมุทรญี่ปุ่น โดยกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น (JASDF) กำลังก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติการเครื่องบิน F-35 รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีทั้งรุ่น F-35A สำหรับฐานทัพบก และ F-35B สำหรับปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ชั้น Izumo ที่ได้รับการปรับปรุง
รวมถึงเข้าร่วมโครงการ Global Combat Air Programme (GCAP) ร่วมกับสหราชอาณาจักรและอิตาลี เพื่อพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการก้าวข้ามเทคโนโลยีปัจจุบันไปสู่ยุคหน้า งบประมาณป้องกันประเทศของญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นเป็น 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการจัดหาอาวุธล่องหนและระบบป้องกันขีปนาวุธ Aegis Ashore และเน้นการอัปเกรด F-15J และการมีฝูงบิน F-35 ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ นอกสหรัฐฯ
จำนวนอากาศยานรวม : 1,399
ปากีสถานยังคงเป็นมหาอำนาจทางอากาศที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียกลาง แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่กองทัพอากาศปากีสถาน (PAF) ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่น JF-17 Thunder Block III ร่วมกับจีนจนกลายเป็นยุทโธปกรณ์ส่งออกที่สร้างรายได้มหาศาล ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในฐานะเครื่องบินขับไล่ยุค 4.5 ที่คุ้มค่าที่สุดรุ่นหนึ่ง ปากีสถานได้ลงนามในบันทึกข้อความ (MoU) กับ "ประเทศพันธมิตร" รายใหม่สำหรับการขายเครื่องบินรุ่นนี้ ซึ่งคาดการณ์กันว่าอาจเป็นบังกลาเทศหรือกาตาร์
นอกจากนี้ ปากีสถานยังประสบความสำเร็จในการส่งออก JF-17 ให้กับอาเซอร์ไบจานในมูลค่าสัญญาถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการบินปากีสถาน ในด้านการปฏิบัติการ PAF ได้บูรณาการระบบ Data Link 17 ที่พัฒนาขึ้นเอง เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเครื่องบินรบและระบบเตือนภัยล่วงหน้า Airborne Warning and Control System ซึ่งเป็นระบบเตือนภัยและควบคุมทางอากาศแบบลอยฟ้า ที่ใช้เครื่องบินติดตั้งเรดาร์ทรงพลังและอุปกรณ์สื่อสารเพื่อตรวจจับ ติดตาม และบัญชาการภัยคุกคามทางอากาศ เช่น เครื่องบินข้าศึก ขีปนาวุธจากระยะไกล พร้อมทั้งควบคุมเครื่องบินขับไล่และโจมตีของฝ่ายตนให้ปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสมือนมีดวงตาบนท้องฟ้า ทำให้เกิดความได้เปรียบในการรับรู้สถานการณ์ในสนามรบ อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
จำนวนอากาศยานรวม : 1,093
อียิปต์ยังคงรักษาตำแหน่งอยู่ในท็อป 10 ด้วยฝูงบินที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาและตะวันออกกลาง โดยใช้นโยบายการจัดหาอากาศยานจากหลายแหล่ง ทั้งจากสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เพื่อลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยกองทัพอากาศอียิปต์ (EAF) มีอากาศยานรวมกว่า 1,093 เครื่อง ความแข็งแกร่งของอียิปต์อยู่ที่เครื่องบิน F-16 จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกำลังหลัก เสริมด้วยเครื่องบิน Rafale จากฝรั่งเศสที่มีความล้ำสมัยกว่าในด้านอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องบิน MiG-29M/M2 รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตี Ka-52 จากรัสเซีย
แม้การมีอากาศยานจากหลายค่ายจะสร้างความได้เปรียบทางการเมือง แต่ก็สร้างความซับซ้อนในการซ่อมบำรุงและฝึกฝนนักบิน อย่างไรก็ตาม อียิปต์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาความพร้อมรบสูงผ่านการฝึกซร่วมกับนานาชาติและการบริหารจัดการฐานทัพอากาศที่ทันสมัย
จำนวนอากาศยานรวม : 1,083
ตุรกีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางทหารสูงที่สุดในกลุ่มสมาชิก NATO โดยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับที่ 9 ในดัชนี GFP 2025 ซึ่งความสำเร็จของตุรกีถูกขับเคลื่อนโดยอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่แข็งแกร่งและการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีไร้คนขับ
ตุรกีได้วางแผนการพัฒนาฝูงบินในระยะยาวเพื่อสร้างอธิปไตยทางอากาศของตนเอง โดยประกอบด้วยแผนการจัดหาและพัฒนาสามระยะ ความสำเร็จของโดรน Bayraktar TB2 และการพัฒนาเครื่องบินไร้คนขับล่องหนอย่าง Kızılelma ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตุรกีให้กลายเป็นมหาอำนาจด้านโดรนของโลก นอกจากนี้ ตุรกียังดำเนินการโครงการ "Özgür" ซึ่งเป็นโครงการปรับปรุงและยกระดับเครื่องบินขับไล่ F-16 Block 30 ของกองทัพอากาศตุรกีให้ทันสมัยขึ้น โดยเน้นการติดตั้งเรดาร์ AESA (Active Electronically Scanned Array) และระบบภารกิจที่พัฒนาเองให้กับเครื่องบิน F-16 เดิม เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในด้านซอฟต์แวร์และรหัสต้นฉบับ
จำนวนอากาศยานรวม : 976
ฝรั่งเศสยังคงเป็นมหาอำนาจทางทหารที่มีความเป็นอิสระสูงสุดในยุโรป โดยสามารถรักษาอันดับที่10 ไว้ได้ ผ่านขีดความสามารถในการออกแบบ ผลิต และใช้งานอากาศยานรบที่มีสมรรถนะสูงด้วยตนเองทั้งหมด โดยมีเครื่องบินขับไล่ Dassault Rafale ที่เป็นสัญลักษณ์ของอธิปไตยทางทหารฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความยืดหยุ่นสูงในภารกิจต่างๆ ตั้งแต่การครองอากาศ การโจมตีทางทะเล ไปจนถึงการบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม
หลักนิยมของฝรั่งเศส "Force de projection" เน้นที่ความคล่องตัวและการตอบโต้ที่รวดเร็ว โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการนอกประเทศได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตรเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังมุ่งพัฒนาโครงการ FCAS ร่วมกับเยอรมนีและสเปน เพื่อสร้างระบบเครื่องบินขับไล่ยุคหน้าที่จะรวมเอาโดรนสนับสนุนและระบบคลาวด์การต่อสู้เข้าไว้ด้วยกัน
ขณะที่ ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 23 ของโลก มีจำนวนอากาศยานรวม จำนวน 493 ลำ โดยประกอบด้วย เครื่องบินขับไล่ (Fighters) , เครื่องบินโจมตี (Dedicated Attack) , เครื่องบินลำเลียง (Transports) , เครื่องบินฝึก (Trainers) , เครื่องบินภารกิจพิเศษ (Special-Mission) , เฮลิคอปเตอร์ (Helicopters) และ เฮลิคอปเตอร์โจมตี (Attack Helos) ในปี 2025 ไทยยังคงรักษาสถานะกองทัพที่มีความสมดุล โดยมีจำนวนเครื่องบินรวมเป็นอันดับต้นๆ ในอาเซียน ใกล้เคียงกับเวียดนามและอินโดนีเซีย แต่มีความหลากหลายของภารกิจสนับสนุนมากกว่า ซึ่งถือว่าไทยมีความพร้อมในเชิงเทคนิคและการสนับสนุนที่สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ
ที่มา : Global Firepower
Advertisement