ต้นปี 2022 ศรีลังกาเผชิญกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก เมื่อประชากร 22 ล้านคนในศรีลังกาต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เชื้อเพลิงอย่างน้ำมันหรือแก๊ส
ภาพที่พบเห็นคือ ประชาชนนำรถไปต่อแถวรอเติมน้ำมันตามปั๊มจำนวนมาก ขณะที่ยารักษาโรคขาดแคลน และอาหารก็มีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ
สาเหตุหลักเกิดจากการที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลงอย่างหนัก ทำให้การนำเข้าสินค้าจำเป็นต่าง ๆ หยุดชะงัก ในขณะที่ประเทศมีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่รัฐบาลกลับไม่มีความสามารถในการชำระหนี้
ในปีนั้น อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารพุ่งสูงถึง 80.1% และในตลาดค้าส่งผัก แม้จะดูคึกคัก ผู้ซื้อ ผู้ขาย และคนแบกหามแย่งกันขนสินค้า แต่ราคาก็สูงจนหลายครอบครัวเอื้อมไม่ถึง
รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการเจรจากับไอเอ็มเอฟ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ สถานการณ์ขาดแคลนเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดศรีลังกามีสต๊อกน้ำมันเหลือใช้เพียงวันเดียว
รานิล วิกรมสิงเห นายกรัฐมนตรีศรีลังกาในสมัยนั้น กล่าวไว้ว่า ขณะนี้ ศรีลังกามีน้ำมันเบนซินสำรองเพียงพอสำหรับหนึ่งวันเท่านั้น
“ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 เรามีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่วันนี้ กระทรวงการคลังกลับยากลำบากในการหาเงินเพียงหนึ่งล้านดอลลาร์ และยังประสบปัญหาในการระดมทุน 5 ล้านดอลลาร์ที่จำเป็นต่อการนำเข้าแก๊ส อีกหนึ่งปัญหาที่ร้ายแรงคือการขาดแคลนยา เราขาดแคลนยาจำเป็นหลายชนิด รวมถึงยาสำหรับรักษาโรคหัวใจ และอุปกรณ์การผ่าตัด ตลอดช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา เราไม่สามารถชำระเงินให้กับผู้จัดหายา อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอาหารสำหรับผู้ป่วยได้ ยอดค้างชำระรวมแล้วกว่า 34,000 ล้านรูปี”
นายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงเห ออกมาประกาศสถานการณ์ดังกล่าวในช่วงเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันนั้นเอง และนำไปสู่จุดที่ในที่สุด ประชาชนก็ทนไม่ไหว
ประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวประท้วงเพื่อขับไล่ โกตาบายา ราชปักษา ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในขณะนั้น เนื่องจากเขาถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งนี้ ทั้งจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาด การลดภาษีอย่างกะทันหันในปี 2019 การบริหารเงินตราต่างประเทศที่ล้มเหลว และที่สำคัญคือระบบอุปถัมภ์ที่เอื้อประโยชน์ให้ตระกูลราชปักษา
แม้ว่าเขาจะพยายามปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อลดกระแสความไม่พอใจ แต่ก็ไม่เป็นผล ตลอดหลายสัปดาห์ในปีนั้น ประชาชนยังคงออกมารวมตัวประท้วงทั้งตามท้องถนน และบริเวณนอกทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโคลัมโบ เมืองหลวงของประเทศ
จนในที่สุด วันที่ 9 กรกฎาคม 2022 การชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดก็เกิดขึ้น ประชาชนบุกยึดทำเนียบประธานาธิบดี บ้านพักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานประธานาธิบดี
ต่อมาในวันที่ 13 กรกฎาคม ประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา หลบหนีออกจากประเทศไปยังมัลดีฟส์ และส่งจดหมายลาออกจากตำแหน่งตามมา
หนึ่งในแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงที่สุดของศรีลังกาคือการมีหนี้ต่างประเทศสูงเกินไป โดยเฉพาะกับจีน
รัฐบาลที่ถูกโค่นล้มอำนาจซึ่งนำโดยตระกูลราชปักษา ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการกู้เงินจากจีนมาเพื่อโครงการฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ที่ประชาชนมองว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2022 ศรีลังกาเป็นหนี้จีนราว 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 165,000 ล้านบาท และก่อนหน้านั้น รัฐบาลยังไปกู้เพิ่มอีก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้เป็น “ยาแรง” กระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประเทศเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาหนี้ทีหลัง รัฐบาลต่อมาจึงต้องผ่อนชำระหนี้กับจีนตามกำหนด
แต่ปัญหาหนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่จีนเท่านั้น ศรีลังกายังเป็นหนี้กับหลายประเทศ รวมถึงการกู้ยืมจากภาคเอกชนในรูปแบบ G2P (Government to Private Sector) การแบกรับหนี้สูงเหล่านี้ กลายเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่บีบคั้นเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลต่อชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากตระกูลราชปักษาของอดีตประธานาธิบดีโกตาบายา ผู้ถูกกล่าวโทษว่าดำเนินนโยบายเศรษฐกิจผิดจนประเทศล่มจมแล้ว จีนก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ตกเป็นเป้าโจมตีของประชาชน
เพราะรัฐบาลของโกตาบายาได้รับทุนสนับสนุนจากจีนเพื่อนำมาก่อสร้างโครงการสุดอลังการมากมาย แต่สุดท้ายกลับถูกทิ้งร้าง จนกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งความฟุ่มเฟือยของรัฐบาล ในอำเภอฮัมบันโตตา บ้านเกิดของตระกูลราชปักษา พวกเขาใช้เงินกู้จำนวนหลายพันล้านดอลลาร์จากจีนเพื่อพัฒนาที่นี่ให้กลายเป็นศูนย์กลางอันทันสมัย
โครงการโครงสร้างพื้นฐานอย่าง Port City และท่าเรือน้ำลึกบนเส้นทางการค้าตะวันออก–ตะวันตก ที่ตั้งใจจะกระตุ้นกิจกรรมอุตสาหกรรม แต่กลับสูญเสียเงินตั้งแต่เริ่มดำเนินการ และทุกวันนี้ก็ถูกทิ้งร้าง ท่าเรือฮัมบันโตตาไม่สามารถชำระเงินกู้จีนมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ได้ ท้ายที่สุดในปี 2017 บริษัทของรัฐจีนได้รับสิทธิ์เช่า 99 ปี ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลว่าจะกลายเป็นฐานยุทธศาสตร์แห่งใหม่ของจีนในมหาสมุทรอินเดีย
อีกหนึ่งโครงการฟุ่มเฟือยที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนคือศูนย์ประชุมมูลค่า 15.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแทบไม่ถูกใช้งานตั้งแต่เปิดทำการ และใกล้กันคือสนามบินราชปักษา ที่ก่อสร้างด้วยเงินกู้จีน 200 ล้านดอลลาร์ แต่กลับใช้งานน้อยมาก จนไม่สามารถจ่ายค่าไฟได้ในบางช่วง
นักวิเคราะห์มองว่า ไม่ใช่เพียงการกู้เงินเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่ยังเป็นนโยบายการคลังที่หย่อนยานและขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมของตระกูลราชปักษา ที่ผลักดันศรีลังกาเข้าสู่ปัญหาครั้งใหญ่
มูร์ตาซา แจฟเฟอร์จี ประธานสถาบัน Advocata กล่าวว่า “ตระกูลราชปักษาเคยได้รับความนิยมสูง และเป็นราชวงศ์การเมืองครอบครัวหนึ่ง ปัญหาคือพวกเขามีอุดมการณ์เฉพาะตัว และค่อนข้างเคร่งครัด เป็นอุดมการณ์ชาตินิยมสูงมาก ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจเริ่มส่งเสริมแนวทางแก้ปัญหาที่พัฒนาขึ้นเองภายในประเทศแบบพึ่งพาตนเอง คือผลิตสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น พวกเขาแทรกแซงกลไกตลาดในระบบเศรษฐกิจ”
ระหว่างปี 2022 จนถึง 2024 ศรีลังกาภายใต้การนำของ รานิล วิกรมสิงเห ต้องเข้าสู่ยุคแห่งการรัดเข็มขัดขั้นสุด เพื่อประคับประคองประเทศ จนกระทั่งถึงการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2024
กันยายน 2024 ชาวศรีลังกาตัดสินใจเลือก อนุรา กุมารา ดิสซานายาเก จากพรรคแนวร่วมพลังประชาชนแห่งชาติ พันธมิตรพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ เขาประกาศว่า จะทำงานเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาอีกครั้ง
อนุรา กุมารา ดิสซานายาเก ประธานาธิบดีศรีลังกา กล่าวว่า “วันนี้เรากำลังรับช่วงต่อประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤตลึก วิกฤตนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเพียงรัฐบาล พรรคการเมือง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผมไม่ใช่นักมายากล ไม่ใช่ผู้วิเศษ แต่เป็นเพียงประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง ผมมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด มีสิ่งที่รู้และสิ่งที่ไม่รู้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการมองหาศักยภาพ เติมเต็มความรู้ที่ยังขาด และใช้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อการตัดสินใจนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้า”
ความพยายามของรัฐบาลชุดใหม่ นับตั้งแต่รานิล วิกรมสิงเห จนถึงอนุรา เริ่มเห็นผลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2022 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ตัวเลขจีดีพีของศรีลังกาหดตัวลงเหลือ 74,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในปี 2024 เศรษฐกิจขยายตัวกว่า 5% และจีดีพีศรีลังกากลับมาอยู่ที่ 98,960 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ที่เจ็บปวด นั่นคือการผิดนัดชำระหนี้สาธารณะ แต่ก็นำไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ครั้งสำคัญ เจ้าหนี้ต่างประเทศยกหนี้ให้กว่า 3 พันล้านดอลลาร์ และยอมปรับโครงสร้างอีก 25 พันล้านดอลลาร์ โดยขยายระยะเวลาชำระคืนออกไปสองทศวรรษ พร้อมอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ส่งผลให้พันธบัตรศรีลังกากลับเข้าสู่ดัชนีการลงทุนโลก และอันดับเครดิตขยับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
จากความสิ้นหวังในปี 2022 วันที่ศรีลังกาจมอยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย รายได้จากภาษีหดหาย เงินสำรองระหว่างประเทศร่วงลงฮวบ หนี้สาธารณะพุ่งทะยานเกินควบคุม เศรษฐกิจหยุดชะงัก ผู้คนต้องต่อแถวรอเติมน้ำมันเป็นชั่วโมง ๆ สินค้าจำเป็นขาดแคลน ราคาพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไฟฟ้าดับกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
ปี 2025 น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม และยาเวชภัณฑ์กลับมาเพียงพออีกครั้ง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่ควบคุมได้
การกู้เงินมาเพื่อโครงการสุดฟุ่มเฟือยจากจีนและชาติอื่น ๆ อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ศรีลังกาจมลงสู่วิกฤตครั้งใหญ่ แต่ความผิดพลาดของรัฐบาลยุคนั้นก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับศรีลังกากลายเป็นบทเรียนชั้นดีว่า การที่ประเทศดำเนินนโยบายผิดพลาด กู้เงินและสร้างหนี้มากจนเกินไป สามารถนำพาคนทั้งชาติไปสู่ความทุกข์ยากและความขาดแคลนได้เพียงใด ซึ่งชาวศรีลังกาเชื่อเหลือเกินว่า พวกเขาไม่อยากกลับไปเผชิญกับจุดนั้นอีกแล้ว