แขมร์ไทมส์รายงานว่า รัฐบาลได้อนุมัติค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนใหม่เป็น 210 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 842,213 เรียลกัมพูชา หากแปลงเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ประมาณ 6,676 บาท จากเดิมเงินเดือนขั้นต่ำของแรงงานจะอยู่ที่ 208 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับว่าขึ้นมาอีก 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้า และแรงงานที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนจะต้องเป็นคนของโรงงานผลิตสินค้ากลุ่ม GFT เท่านั้น ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม (Garment), รองเท้า(Footwear) และสินค้าสำหรับการเดินทาง (Travel goods) สำหรับค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานอื่น ๆ ข้าราชการ หรือพนักงานเอกชน จะยังไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังการประชุมครั้งสุดท้ายของสภาแห่งชาติว่าด้วยค่าจ้างขั้นต่ำของกัมพูชา (NCMW) เมื่อวานนี้ (17 กันยายน 68) กระทรวงแรงงานและการฝึกอบรมวิชาชีพกัมพูชาเปิดเผยว่า การตัดสินใจนี้ได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต หลังจากการเจรจา 23 รอบระหว่างตัวแทนจากสหภาพแรงงาน นายจ้าง และเจ้าหน้าที่รัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ตัวแทนนายจ้างและกลุ่มผู้ประกอบการได้ออกมาเรียกร้องให้คงค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 208 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอ้างถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจโลก เช่น ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ และการเปรียบเทียบค่าจ้างในระดับภูมิภาค
แต่ท้ายที่สุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกัมพูชา เฮง ซัวร์ กล่าวถึงการเจรจาในครั้งนี้ว่า “ประสบความสำเร็จ” ที่รัฐบาลสามารถขึ้นค่าแรงได้ เพราะเมื่อรวมค่าเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการที่จำเป็น เช่น โบนัสการเข้าร่วมงาน ค่าอาหารหรือค่าเดินทาง คนงานสามารถคาดหวังว่า จะได้รับเงินกลับบ้านประมาณ 227 ถึง 238 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน
นายเฮง ซัวร์กล่าวว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังมีความไม่แน่นอนและหลายประเทศในภูมิภาคยังไม่ได้ปรับขึ้นค่าจ้าง แต่รัฐบาลกัมพูชาได้อนุมัติการปรับขึ้นค่าจ้าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม เพื่อบรรเทาภาระของแรงงานและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขา” ทั้งนี้ สภาแห่งชาติว่าด้วยค่าจ้างขั้นต่ำของกัมพูชายังได้หารือเกี่ยวกับมาตรการควบคุมค่าครองชีพของคนงาน โดยเฉพาะค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเช่า กระทรวงจะตรวจสอบโดยตรงหากมีการขึ้นค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม ทางสภาฯ จะดำเนินการกับเจ้าของบ้านหรือผู้ให้บริการที่แสวงหาผลประโยชน์จากการปรับค่าแรง
นายเฮง ซัวร์ยังกล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่แรงงานชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ ด้วยเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า กัมพูชากำลังเผชิญกับภารกิจเร่งด่วนในการนำแรงงานกว่า 920,000 คนกลับบ้าน
กระทรวงแรงงานกัมพูชาเปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ มีผู้ที่เดินทางกลับประเทศแล้วกว่า 230,000 คนได้ทำงานในประเทศกัมพูชา แต่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างงาน 10,000 ตำแหน่งต่อวันเพื่อรองรับแรงงานที่หลั่งไหลเข้ามา
นางโสธี ตัวแทนเจ้าของโรงงาน ยอมรับความพยายามของรัฐบาล แต่แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาระที่เพิ่มมากขึ้นของนายจ้าง “เรากำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย รวมถึงภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ความไม่มั่นคงของโลก และตอนนี้แรงงาน 920,000 คนที่ต้องการงานกลับบ้านเกิด”
แม้ในฝั่งของนายจ้างจะออกมาเปิดเผยว่าธุรกิจของพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่กรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชาแถลงสวนทาง ระบุว่า แม้เศรษฐกิจกัมพูชาจะเผชิญความท้าทายแต่การส่งออกสินค้ากลุ่ม GFT ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม (Garment), รองเท้า (Footwear) และสินค้าเดินทาง (Travel goods) เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 22% และได้สร้างเงินให้กัมพูชา 7,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เฉพาะการส่งออกเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอย่างเดียวคิดเป็น 5,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Trading Economics และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) มีการรวบรวมข้อมูลค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละประเทศเพื่อการเปรียบเทียบ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า ค่าแรงขั้นต่ำของกัมพูชาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ถึง 1% ถือว่าต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ของกัมพูชาในปีหน้ามาก
ธนาคารโลกคาดว่า อัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะชะลอตัวลงราว 2.3% เมื่อกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ถึง 1% ถือว่าต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ในกัมพูชาในปีหน้ามาก
ขณะที่ค่าครองชีพในกัมพูชาอยู่ในระดับต่ำ โดยเมืองหลวงอย่างกรุงพนมเปญ มีค่าครองชีพแพงกว่าพื้นที่ชนบท จากการศึกษาในปี 2021 โดย Global Living Wage พบว่า ครอบครัวสมาชิก 4 คนในเขตเมืองของกัมพูชา ต้องการค่าครองชีพขั้นพื้นฐานประมาณ 210 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน แต่เมื่อผ่านมา 4 ปีแล้ว แน่นอนว่า ตัวเลขค่าครองชีพขั้นต่ำที่ประเมินไว้อาจพุ่งสูงขึ้น ด้วยภาวะเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ได้แก่ ค่าที่อยู่อาศัยและค่าสาธารณูปโภค ค่าไฟฟ้า เป็นต้น