Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ผู้ว่าธปท. จี้รัฐบาลใหม่ไทยใส่ใจวินัยการคลัง ชี้อาจถูกลดเครดิตเรตติ้ง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ผู้ว่าธปท. จี้รัฐบาลใหม่ไทยใส่ใจวินัยการคลัง ชี้อาจถูกลดเครดิตเรตติ้ง

18 ก.ย. 68
16:51 น.
แชร์

ในช่วงรอยต่อทางการเมืองที่สังคมกำลังรอนโยบายจากรัฐบาลใหม่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้เวที “ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน” เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ส่งสัญญาณเตือนชัดให้รัฐบาลใหม่ใส่ใจ "วินัยการคลัง" ของประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจของเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย หลังสถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลกปรับมุมมองไทยเป็น “แนวโน้มเชิงลบ” จากหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่รายได้กลับมีแนวโน้มลดลง

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า หากรัฐบาลยังไม่แสดงแผนฟื้นฟูรายได้และลดหนี้ที่ชัดเจน ความเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติ้งจะยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเปรียบเศรษฐกิจไทยเสมือน “ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง” ที่แม้อาการไม่รุนแรงฉับพลัน แต่หากละเลยการรักษา โครงสร้างที่อ่อนแอก็จะกัดกร่อนศักยภาพการเติบโตและความเชื่อมั่นทั้งในและนอกประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ ผู้ว่า ธปท. ยังชี้ให้เห็นโจทย์ใหญ่ที่เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ความสามารถแข่งขันที่ถดถอย ส่วนแบ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ถูกเพื่อนบ้านแย่งไป ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สินที่ลึกขึ้น หนี้ครัวเรือนที่สูงขณะที่รายได้ไม่โต ไปจนถึง SME ที่ขาดโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ หากไม่เร่งสร้างวงจรการลงทุนใหม่ ผลิตภาพแรงงานและรายได้ครัวเรือนจะไม่ขยับ การปรับโครงสร้างหนี้ก็ไร้ความยั่งยืน และความเปราะบางทางการคลังจะยิ่งทวีความรุนแรง จนอาจตัดทอนเสถียรภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

หนี้พุ่ง-การคลังเปราะบาง ไทยเสี่ยงถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง

สำหรับโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่และภาคการคลังควรแก้ไข ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวชัดว่า หนึ่งในสิ่งที่ต้องใส่ใจคือ “เสถียรภาพทางการคลัง” เพราะเสถียรภาพทางการคลังในปัจจุบันไม่ได้แข็งแรงเหมือนในอดีต หลังวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ ส่งผลให้การขาดดุลและหนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งที่ทุกประเทศเผชิญ แต่ปัญหาของไทยคือยังไม่เห็น “เส้นทางการฟื้นฟู” ที่ชัดเจนในระยะกลางและระยะยาว

ดร. เศรษฐพุฒิ อธิบายว่า หากเจาะดูโครงสร้างรายรับรายจ่ายภาครัฐ จะเห็นความไม่สมดุลชัดเจน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายจ่ายภาครัฐโตเฉลี่ยปีละ 4% ขณะที่รายได้โตเพียง 1.7% ช่องว่างนี้สะท้อนว่าดุลการคลังติดลบต่อเนื่อง และหนี้สาธารณะขยับขึ้นในลักษณะ “เร่งตัว” มากกว่าควบคุมได้ ขณะเดียวกัน กรอบความยั่งยืนทางการคลัง (Medium-term Fiscal Framework) ที่ไทยจัดทำยังตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า รายจ่ายจะชะลอและรายได้จะเร่งขึ้น แต่หลักฐานจริงกลับไม่เป็นไปตามนั้น เพราะรายได้ของรัฐกลับชะลอตัว ในขณะที่รายจ่ายยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง

ด้วยเหตุนี้ สถาบันจัดอันดับเครดิตจึงยังไม่เชื่อมั่น และปรับแนวโน้มของไทยไว้ในกลุ่ม “แนวโน้มเครดิตเชิงลบ” (Negative Outlook) ความหมายคือ หากไทยไม่มีมาตรการชัดเจนในการควบคุมฐานะการคลัง ความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (downgrade) มีสูงขึ้น สิ่งที่ตลาดการเงินและผู้จัดอันดับต้องการเห็นไม่ใช่การรัดเข็มขัดแบบฉับพลัน แต่คือ “เส้นทางที่น่าเชื่อถือ” ที่บ่งชี้ได้ว่าอัตราการขาดดุลและหนี้สาธารณะต่อ GDP จะค่อย ๆ ลดลงในอนาคต

ดร.เศรษฐพุฒิยังชี้ว่า แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะอยู่ที่เพียง 1.4-1.5% ซึ่งถือว่ายังต่ำ ไม่สะท้อนภาวะวิกฤตการคลัง แต่หากรัฐบาลเพิกเฉยอาจถูกตีความได้ว่าไทยกำลัง “ชะล่าใจ” อีกทั้งยังมีภาระผูกพันแฝง (contingent liabilities) ที่มีโอกาสกลายเป็นภาระจริงของภาครัฐในอนาคต ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมฐานะการคลังให้เปราะบางมากขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ว่า ธปท. ยังกล่าวว่า แม้การใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นยังเป็นสิ่งจำเป็นในบางช่วง แต่รัฐบาลใหม่ก็ต้องทำด้วยความรอบคอบ เพราะ “กระสุนที่เหลือ” ของการคลังมีจำกัด หากใช้อย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่มีแผนรองรับในระยะกลางและยาว ความเสี่ยงที่ไทยจะถูกลดเครดิตเรตติ้งก็จะเพิ่มขึ้น และสุดท้ายอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในระยะยาว

ศักยภาพถดถอย-เหลื่อมล้ำลึก เศรษฐกิจไทยเสี่ยงติด “กับดักโตต่ำ”

สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ผู้ว่าการ ธปท. เตือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญปัญหาซ้อนกันทั้งในมิติความสามารถในการแข่งขันและความเหลื่อมล้ำ หากไม่เร่งปรับโครงสร้าง ไทยอาจถอยกลับไปสู่เส้นโค้งการเติบโตที่ต่ำและไม่สามารถก้าวพ้นสถานะประเทศรายได้ปานกลางได้

หนึ่งในสัญญาณที่สะท้อนชัดถึงความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของไทยที่ถดถอยลง คือ “ส่วนแบ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)” ในเวทีโลกที่ลดลงต่อเนื่อง ย้อนกลับไปช่วงปี 2544-2548 ไทยเคยมีส่วนแบ่งราว 0.6% ของโลก สูงกว่ามาเลเซียที่ 0.32% เวียดนาม 0.16% และอินโดนีเซีย 0.07% แต่ในปี 2567 ภาพกลับตาลปัตร อินโดนีเซียพุ่งขึ้นเป็น 1.83% เวียดนาม 1.53% มาเลเซีย 1.18% ขณะที่ไทยเหลือเพียง 0.77% ทำให้แม้เม็ดเงิน FDI ที่เข้ามาไทยในเชิงมูลค่าจะดูมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับศักยภาพการดึงดูด ประเทศไทยกลับเสียเปรียบเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน

ดร.เศรษฐพุฒิอธิบายว่า สิ่งนี้สะท้อนว่าไทยยังไม่สามารถสร้าง “investment cycle” ใหม่ที่จะช่วยอัปเกรดโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งด้านเทคโนโลยี เครื่องจักร และทักษะแรงงาน ได้ และถ้าหากไม่มีการลงทุนใหม่ที่เพียงพอ ผลิตภาพจะหยุดนิ่ง การเติบโตระยะยาวจะติดอยู่ในระดับต่ำ โดยแม้มาตรการอัดฉีดหรือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอาจจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ แต่ก็ได้เพียงชั่วคราว และไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้

ดังนั้น หากไทยไม่ปรับเกมการลงทุนอย่างจริงจัง โค้งการเติบโตของไทยจะถอยกลับไปอยู่ “เส้นต่ำ” ดังเดิม รัฐบาลจึงไม่ควรหยุดแค่การอำนวยความสะดวก แต่ต้องกล้าปรับกฎเกณฑ์ ลดอุปสรรคใหม่ ๆ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนจริง เพื่อให้ภาคเอกชนซึ่งเป็นหัวใจของการจ้างงานและนวัตกรรมเดินหน้าได้เต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ ยังย้ำด้วยว่าโจทย์ทางโครงสร้างที่ใหญ่ไม่แพ้การดึงดูด FDI คือการเติบโตที่ทั่วถึง เพราะหากเศรษฐกิจขยายตัวเพียงในเชิงตัวเลขมหภาค แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าโอกาสกระจายอย่างเป็นธรรม ความไม่พอใจจะสะสมจนกลายเป็นแรงกดดันทางสังคม ซึ่งหลายประเทศได้แสดงตัวอย่างไว้แล้ว เช่น อินโดนีเซียและศรีลังกาที่แม้เศรษฐกิจรวมยังเติบโต แต่ความเหลื่อมล้ำที่สูงทำให้การเมืองเปราะบาง หรือกรณีเนปาลที่ถึงขั้นเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ของคนรุ่นใหม่ในนาม “Gen Z” ที่ออกมาประท้วงเพื่อต่อต้านการเติบโตแบบกระจุกตัวและขาดการกระจายโอกาส

สำหรับประเทศไทย ความเหลื่อมล้ำปรากฏชัดในสามมิติสำคัญ มิติแรกคือครัวเรือน โดยครัวเรือนบนสุดเพียง 1% หรือประมาณ 240,000 ครัวเรือน ถือครองสินทรัพย์รวมเท่ากับครัวเรือนล่างเกือบ 13 ล้านครัวเรือนจากทั้งหมดราว 24 ล้านครัวเรือน มิติที่สองคือธุรกิจ บริษัทขนาดใหญ่เพียง 5% กวาดรายได้รวมถึงเกือบ 90% ของระบบเศรษฐกิจ และสัดส่วนนี้ยิ่งทวีความเข้มในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มิติสุดท้ายคือภูมิภาค แม้ GDP นอมินัลในรอบสิบปีเติบโตถึง 80% แต่รายได้เฉลี่ยครัวเรือนในภาคเหนือ อีสาน และใต้กลับเติบโตต่ำกว่ามาก ทำให้ช่องว่างระหว่างภูมิภาคกับกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวทำให้ ฐานธุรกิจรายย่อย โดยเฉพาะ SME ยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ โดยข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่าสินเชื่อเพื่อการลงทุนของ SME หดตัวลง 6% ในขณะที่หนี้เสียของกลุ่มนี้สูงถึง 7.6% ต่างจากธุรกิจใหญ่ที่มีเพียงราว 1% ทำให้ธนาคารยิ่งลังเลจะปล่อยกู้ SME จนโอกาสฟื้นตัวลดลง ขณะที่กลไกรับประกันสินเชื่อที่มีอยู่ เช่น บสย. ก็ยัง “ไม่เพียงพอ” ต่อขนาดของปัญหา โดยดร.เศรษฐพุฒิมองว่า หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สรรหากลไกการค้ำประกันใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นออกมา โอกาสที่สินเชื่อ SME จะกลับมาโตย่อมยากมาก

เร่งปั้น Your Data - Risk-based Pricing เสริมการเข้าถึงสินเชื่อ

ในด้านปัญหาการเงิน ดร.เศรษฐพุฒิชี้ว่า “หนี้ครัวเรือน” เป็นโจทย์ใหญ่และเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่ต้องเร่งแก้ไข โดยปัจจุบันระดับหนี้ครัวเรือนไทยสูงกว่า 90% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงติดอันดับต้น ๆ ของโลก ที่น่ากังวลกว่านั้นคือโครงสร้างรายได้-รายจ่ายของครัวเรือนที่เปราะบาง โดยมีมากถึงสองในสามของครัวเรือนที่มีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ แม้จะสมมติว่าล้างหนี้ที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป หากรายได้ไม่เพิ่มขึ้น ครัวเรือนก็ยังมีความจำเป็นต้องกลับมากู้ใหม่อยู่ดี ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่การมีหนี้เพียงอย่างเดียว แต่คือความไม่สมดุลของรายได้กับค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้การแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ต้องมาพร้อมการสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ

ในด้านเครื่องมือ ธปท.กำลังเร่งผลักดันโครงการ “Your Data ข้อมูลของคุณ คุณเลือกได้” ที่เปิดทางให้ประชาชนสามารถนำข้อมูลการเงินของตนเองจากสถาบันหนึ่งไปใช้อีกแห่งเพื่อยื่นขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น กลไกนี้จะช่วยให้ผู้กู้ที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีสามารถใช้เป็นเครดิตในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันอื่น ไม่ถูกผูกขาดกับธนาคารใดธนาคารหนึ่งโดยเฉพาะ อีกทั้งยังช่วยสร้างการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงิน ทำให้ต้นทุนสินเชื่อลดลงและเพิ่มทางเลือกแก่ผู้กู้ โครงการนี้มีแผนจะออกประกาศ “ก่อนสิ้นเดือนกันยายน” ซึ่งเปรียบเสมือน “ของขวัญส่งท้ายตำแหน่ง” ของผู้ว่าการ ดร.เศรษฐพุฒิย้ำว่าความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การออกประกาศเท่านั้น แต่ต้องทำให้เกิดการใช้งานจริงจนเป็นที่ยอมรับและใช้กันแพร่หลาย เพื่อให้ตลาดการเงินทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อีกแนวทางที่ ธปท.กำลังพิจารณาคือ “risk-based pricing” หรือการกำหนดดอกเบี้ยตามความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้กู้ ซึ่งจะทำให้ผู้กู้ที่มีความเสี่ยงต่ำได้ดอกเบี้ยที่เหมาะสม ขณะที่กลุ่มเสี่ยงสูงอาจต้องจ่ายมากกว่า แต่ถึงอย่างไร ดอกเบี้ยนี้ก็ยังต่ำกว่าต้นทุนกู้นอกระบบที่สูงลิ่วและไม่ยั่งยืน ที่สำคัญคือแนวคิดนี้จะช่วยดึงผู้ที่เคยพึ่งพาการกู้นอกระบบกลับเข้าสู่ระบบการเงินที่ถูกต้อง มีความคุ้มครองตามกฎหมาย และสร้างฐานข้อมูลเครดิตที่ใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต

แชร์
ผู้ว่าธปท. จี้รัฐบาลใหม่ไทยใส่ใจวินัยการคลัง ชี้อาจถูกลดเครดิตเรตติ้ง