ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2567 สถานการณ์กลับพลิกเป็นแย่ลง
‘รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ประจำปี 2567’ ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 เผยตัวเลขให้เห็นว่าสถานการณ์ความยากจนในประเทศไทยในปี 2567 แย่ลงในเกือบทุกมิติ
ในเมื่อสถานการณ์ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมามีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วทำไมในปี 2567 สถานการณ์กลับแย่ลง SPOTLIGHT ชวนซูมเข้าไปดูรายละเอียดเพื่อหาคำอธิบาย รวมถึงหาคำตอบว่าควรจะแก้ปัญหานี้อย่างไรในเชิงนโยบาย
รายงานของสภาพัฒน์ระบุว่า ในปี 2567 จำนวนคนจนในประเทศไทยอยู่ที่ 3.43 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ) เพิ่มขึ้น 1.04 ล้านคน จากปี 2566 ที่มีจำนวน 2.39 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 3.41 ของประชากรทั้งประเทศ) โดยจำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตร คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 45.49
ถ้าจำแนกตามระดับความรุนแรงของความยากจน กลุ่มคนยากจนมาก ซึ่งหมายถึงคนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนเกินกว่าร้อยละ 20 มีจำนวน 8.79 แสนคน (ร้อยละ 1.25 ของประชากรทั้งหมด) เพิ่มขึ้นจาก 6.28 แสนคน ในปี 2566 และกลุ่มคนยากจนน้อย ซึ่งหมายถึงคนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนไม่เกินร้อยละ 20 มีจำนวน 2.55 ล้านคน (ร้อยละ 3.64 ของประชากรทั้งหมด) เพิ่มขึ้นจาก 1.76 ล้านคนในปี 2566
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มคนเกือบยากจน ซึ่งหมายถึงคนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคสูงกว่าเส้นความยากจนไม่เกินร้อยละ 20 เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ในภาวะยากจน จำนวน 4.29 ล้านคน (ร้อยละ 6.10 ของประชากร) เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 3.97 ล้านคน (ร้อยละ 5.67 ของประชากร)
และถ้าพิจารณาระดับครัวเรือน ในปี 2567 ประเทศไทยมีครัวเรือนยากจนประมาณ 1.03 ล้านครัวเรือน (ร้อยละ 3.68 ของครัวเรือนทั้งหมด) เพิ่มขึ้น 341,000 ครัวเรือน จากปี 2566 ที่มีประมาณ 686,000 ครัวเรือน
‘เส้นความยากจน’ (Poverty Line) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับใช้วัดภาวะความยากจน โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายที่คนหนึ่งคนจำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน เพิ่มขึ้นจาก 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี 2566 มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี 2567
ขณะที่ ‘ช่องว่างความยากจน’ (Poverty Gap Ratio) ซึ่งหมายถึงค่าเฉลี่ยความแตกต่างระหว่างเส้นความยากจนกับรายจ่ายต่อคนต่อเดือนที่คนจนมีกำลังจ่าย และ ‘ความรุนแรงของปัญหาความยากจน’ (Poverty Severity Ratio) ซึ่งหมายถึงค่าเฉลี่ยความแตกต่างกำลังสองระหว่างเส้นความยากจนกับรายจ่ายต่อคนต่อเดือนของคนจน ก็เพิ่มสูงขึ้น
โดยช่องว่างความยากจนเพิ่มขึ้นจาก 0.39 ในปี 2566 เป็น 0.68 ในปี 2567 สะท้อนว่าคนจนในปี 2567 มีรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนมากกว่าปี 2566 ขณะที่ระดับความรุนแรงของปัญหาความยากจน ซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบากในการดำรงชีพของคนจนเพิ่มขึ้นจาก 0.08 เป็น 0.15
หากพิจารณาสถานการณ์ความจนโดยเชื่อมโยงกับพื้นที่หรือถิ่นที่อยู่อาศัย สามารถแยกย่อยลงไปได้อีกหลายระดับ
หากพิจารณาที่จำนวนคนจนในแต่ละภูมิภาค ภาคที่มีจำนวนคนจนมากที่สุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 1.19 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 34.63 ของคนจนทั้งประเทศ รองลงมาคือภาคใต้ จำนวน 927,000 คน ร้อยละ 27.01 ตามมาด้วยภาคเหนือ ร้อยละ 18.62 ภาคกลาง ร้อยละ 17.68 และกรุงเทพฯ ร้อยละ 2.05
หากพิจารณาในแง่สัดส่วนคนจนต่อประชากรทั้งหมดในภูมิภาค ภาคใต้มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด ร้อยละ 9.43 ของประชากรในภูมิภาค รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียง ร้อยละ 6.56 ตามมาด้วยภาคเหนือ ร้อยละ 5.75 ภาคกลาง ร้อยละ 2.76 และกรุงเทพฯ ร้อยละ 0.77
ในรายงานให้เหตุผลว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์สัดส่วนความยากจนต่อประชากรในภูมิภาค คือ ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ รวมถึงผลกระทบอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ กล่าวคือ ภาคใต้ยังคงเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดน ซึ่งแม้จะมีแนวโน้มคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน ประกอบกับการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบกับปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรกรรมเป็นวงกว้าง ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ ส่วนภาคเหนือได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานในวงกว้าง
“ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงพื้นที่ที่ยังคงต้องการการแก้ไขอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง”
เมื่อพิจารณาลงไปถึงระดับจังหวัด ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดแย่ลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้น มีเพียง 15 จังหวัด ที่มีสัดส่วนคนจนลดลงจากปี 2566 ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี ตราด พังงา สุราษฎร์ธานี กำแพงเพชร นครราชสีมา เพชรบุรี จันทบุรี เพชรบูรณ์ อุดรธานี กาญจนบุรี อุตรดิตถ์ พิจิตร และยโสธร
นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาสัดส่วนคนจนจำแนกตามเขตการปกครอง พบว่า ประชากรที่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาลยังคงประสบปัญหาความยากจนในสัดส่วนที่สูงกว่าประชากรในเขตเทศบาลอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2567 สัดส่วนคนจนนอกเขตเทศบาลอยู่ที่ร้อยละ 6.37 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.61 ในปี 2566 ขณะที่สัดส่วนคนจนในเขตเทศบาลอยู่ที่ร้อยละ 3.85 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.55 ในปี 2566
หรือพูดให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ในปี 2567 พื้นที่นอกเขตเทศบาลมีสัดส่วนครัวเรือนยากจนสูงกว่าพื้นที่เขตเทศบาลมากถึง 1.79 เท่า
ในรายงานอธิบายว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้สัดส่วนคนจนในพื้นที่นอกเขตเทศบาลสูงกว่าพื้นที่ในเขตเทศบาล คือ โครงสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่นอกเขตเทศบาลที่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลักมากกว่าพื้นที่ในเขตเทศบาลถึง 1.84 เท่า การที่ภาคเกษตรขยายตัวระดับต่ำในปี 2567 ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ทำให้หลายครัวเรือนมีรายจ่ายเพื่อการอุปโภค-บริโภคลดลงจนต่ำกว่าเส้นความยากจน อีกทั้ง ประชากรในพื้นที่นอกเขตเทศบาลยังเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสาธารณะและโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ระดับความยากจนในพื้นที่นอกเขตเทศบาลยังคงสูงกว่าพื้นที่ในเขตเทศบาลอย่างต่อเนื่อง
จากที่ตั้งคำถามไว้ในตอนต้นว่า เพราะอะไรสถานการณ์ความยากจนในประเทศไทยจึงแย่ลง มีคนจนเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านคน ในปี 2567 สวนทางกับแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อพิจารณาจากตัวเลขต่างๆ จะพบว่า มีปัจจัยในเชิงเทคนิค 2 ปัจจัยที่ส่งผลให้จำนวนคนจนเพิ่มขึ้น คือ เส้นความยากจนที่สูงขึ้น กับรายได้ของคนจำนวนมากที่ลดลงหรือเท่าเดิม
กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ คือ เนื่องจากราคาสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพสูงขึ้น ‘เส้นความยากจน’ ที่คำนวณมาจากค่าใช้จ่ายจำเป็นก็เพิ่มขึ้นตาม เมื่อเส้นความยากจนสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของคนจำนวนมากไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน จึงส่งผลให้มีคนมากกว่า 1 ล้านคนที่ตกเป็น ‘คนจน’ ในปี 2567
ส่วนสาเหตุในเชิงโครงสร้าง มีคำอธิบายในรายงานว่า ในปี 2567 ภาคเกษตรขยายตัวระดับต่ำ ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ทำให้หลายคนมีรายจ่ายเพื่อการอุปโภค-บริโภคลดลงจนต่ำกว่าเส้นความยากจน
สถานการณ์นี้กลายเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญ คือ จำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้น 1 ล้านกว่าคนนั้นเป็นคนทำงานในภาคการเกษตรมากถึงร้อยละ 45.49 ซึ่งในรายงานระบุว่าสถานการณ์และตัวเลขนี้ “สะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรที่ต้องพึ่งพารายได้จากการผลิต ซึ่งมีความผันผวนสูงตามสภาพอากาศและราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้ครัวเรือนเกษตรจำนวนมากยังคงตกอยู่ในภาวะยากจนเมื่อเศรษฐกิจภาคเกษตรเผชิญกับภาวะชะลอตัว”
รายงานระบุว่า สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยสะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเฉพาะความเปราะบางทางเศรษฐกิจของครัวเรือนยากจน นโยบายการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาและการขับเคลื่อนนโยบายในระดับพื้นที่บรรลุผล ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายควรพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาในแต่ละมิติอย่างรอบด้าน รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงทางรายได้ หลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุมและเพียงพอ การกระจายความเจริญอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำคัญ ดังนี้
1. หน่วยงานรัฐควรให้ความสำคัญกับการประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของโครงการที่มีการใช้งบประมาณสูงอย่างต่อเนื่อง
2. เร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางประชาชนให้สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนของแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
3. การลงทุนในโครงสร้างที่จำเป็นต่อการยกระดับศักยภาพเกษตรกรอย่างยั่งยืน
4. การพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ โดยการยกระดับเครื่องมือพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระยะยาว และการขยายผลการจัดการศึกษาในรูปแบบเรียนรู้ควบคู่สร้างรายได้ (Learn to Earn) ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการสนับสนุนเด็กและเยาวชนที่มีเศรษฐฐานะต่ำให้สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง
5. การจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขควรดำเนินตามแนวทางการจัดระบบบริการสุขภาพแบบ S-A-P (Standard, Academy, Premium) ที่เน้นบทบาทและศักยภาพของหน่วยบริการ
6. ภาครัฐควรพัฒนากลไกและมาตรการเชิงระบบที่ช่วยลดต้นทุนแฝงหรืออุปสรรคที่ประชาชนต้องเผชิญในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม