แนวคิด Longevity เป็นที่นิยมในสังคมมาระยะหนึ่ง แม้ไม่ได้ตะโกนใส่กันว่า “Longevity” แต่การออกกำลังกาย กินคลีน ทานอาหารเสริม ดูแลกายใจก็ไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้ยากเย็นนัก แน่นอนว่าการดูแลสุขภาพย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็มีบางฝ่ายที่ตั้งคำถามขึ้นมาว่า “ความกดดันให้ต้องมีสุขภาพดีและชีวิตยืนยาวเป็นการเพิ่มภาระให้เราหรือเปล่า”
แม้จะมีการพูดถึง “longevity 0 บาท” ยกตัวอย่างแนวทางการใช้ชีวิตให้ “มีคุณภาพ” โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อาทิ การนอนให้เพียงพอ ใช้ชีวิตตามนาฬิกาธรรมชาติ เลือกกินอาหารให้ดี หลักเลี่ยงน้ำตาล และอาหารแปรรูป กินโปรตีนให้เพียงพอ การอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี อากาศดี และอื่นๆ
แต่มุมมองนี้พูดจากวิถีชีวิตของคนชนชั้นกลางในเมืองอย่างเห็นได้ชัด และคงจะมีราคา 0 บาทได้จากมุมมองของคนมี privilege หรือเอกสิทธิ์พิเศษเท่านั้น แม้ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
“นอนไม่พอคือปัญหาของคนจนทั่วโลก” ประโยคนี้อาจทำให้หลายคนเถียงในใจว่าคนรวยก็นอนไม่พอได้เหมือนกัน แต่การนอนไม่พอของคนจนทั่วโลกนั้น “ไม่ใช่ทางเลือก”
รายงานปี 2020 Sleep Health: An Opportunity for Public Health to Address Health Equity ชี้ว่า คนรายได้ต่ำและคนกลุ่มเปราะบางในสหรัฐฯ มีคุณภาพการนอนต่ำกว่า เช่นเดียวกับแบบสำรวจปี 2013 โดย CDC ที่รายงานไปในทางเดียวกันว่า คนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นระดับความยากจนถึง 35.2% รายงานว่านอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน กลับกันคนที่มีรายได้มากกว่าเส้นความยากจน 4 เท่า มีคนนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน 27.7%
แม้ไม่มีงานศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และคุณภาพการนอนมากนักในไทย แต่เหตุผลทั่วไปที่กระทบต่อคุณภาพการนอนของคนรายได้ต่ำคือ การทำงานหลายกะ ทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย การทำงานกะกลางคืน การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้คุณภาพการนอนต่ำ เช่น มลภาวะทางเสียง มลภาวะทางอากาศ การอยู่รวมกันหลายคนในพื้นที่เล็ก ทำให้รู้สึกแออัดคับแคบ และอื่น ๆ ซึ่งพบได้เช่นกันในประเทศไทย
ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า “คนรวยนอนน้อย คนจนนอนเยอะ” คงไม่จริงเท่าที่หลายคนคิด หรือคงต้องบอกว่าการนอนน้อยของคนรวยเป็นสิ่งที่ “เลือกได้” มากกว่า
ถ้ามองภาพการนอนออก ก็คงเข้าใจเรื่องอาหารได้ไม่ยากนัก อาหารที่คนจนและคนรวยเข้าถึงได้นั้นมีมากน้อยต่างกัน การมีเงินในกระเป๋ามาก เปิดทางให้เข้าถึงอาหารได้มากกว่า ส่วนคนจนกินได้เพียงอาหารราคาถูกเพื่อให้อิ่มไปรายมื้อ
เนื้อสัตว์โปรตีนสูง แป้งไม่ขัดสี ขนมน้ำตาลน้อย ผักสดออแกนิก ไข่ไก่ทางฟาร์มที่เลี้ยงแบบปล่อย อาหารเสริม-วิตามินมากมาย เหล่านี้ล้วนมีราคาแพงทั้งสิ้น และหากบอกว่า มีตัวเลือกราคาถูกอยู่นะ ก็ขอบอกว่า คนไทยเกือบครึ่งรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน แต่ราคาอกไก่วันที่ 12 กันยายน 2568 อยู่ที่กิโลกรัมละ 80-90 บาท
รายงานปี 2023 จาก Food and Agriculture Organization of the United Nations ชี้ว่า คนหลายล้านในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้ รายงานชี้ว่า ราคาของ “อาหารที่ดีต่อสุขภาพ” ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือเพิ่มขึ้น 5.3% ในปี 2020 ถึงปี 2021 และคนกว่า 232.8 ล้านคนไม่สามารถเข้าถึงอาหารดีๆ เหล่านั้นได้
ใกล้ตัวขึ้นอีกหน่อย ข้อมูลจาก World Bank ปี 2024 ชี้ว่า คนไทย 16.8% หรือราว 12 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงอาหารสุขภาพดีได้ และราคาอาหารสุขภาพดีเฉลี่ยในไทยคือราว 180 บาทต่อมื้อ แน่นอนว่าหลายคนมีตัวเลือกเป็นอาหารประเภทแป้ง อาหารแปรรูป และอาหารที่มาจากวัตถุดิบคุณภาพต่ำ ที่ผลิตทีละมากๆ ทำให้ราคาต่ำ
แต่คนจนก็ออกกำลังกายได้นี่? จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด คนรวยบางคนคงบอกว่า ออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกฟิตเนสเดือนละหลายพัน หรือพิลาทิสเดือนละหลายหมื่น อาจไม่ต้องใช้ชุดออกกำลังกายหรืออุปกรณ์เลยก็ได้ เพียงแค่ออกไปวิ่งที่สวนก็พอ
แต่การไปวิ่งที่สวนก็ไม่ได้ราคา 0 บาท อันที่จริง การมีเวลาว่างไม่ได้ราคา 0 บาท และแต่ละคนไม่ได้มีเวลา “ว่าง” เท่ากัน รายงานปี 2019 Different domains of physical activity: The role of leisure, housework/care work, and paid work in socioeconomic differences in reported physical activity อธิบายถึง “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจ” และ “กิจกรรมทางกายภาพ” ที่ต่างกัน
คนรายได้ต่ำมีแนวโน้มทำงานหลายกะมากกว่าคนรายได้สูง ทำให้มีเวลาว่างน้อยกว่า ส่วนการใช้เวลาว่างกับกิจกรรมทางกายภาพก็มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน หากมองในบริบทคนไทย ลองนึกภาพถึง การขับรถส่วนตัวไปสวนกับการนั่วรถสาธารณะหลายต่อ การมีคอนโดใจกลางเมืองข้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ กับการมีบ้านในชุมชนแออัด การฝากเลี้ยงลูกเพื่อไปออกกำลังกายกับการต้องดูแลลูกและสมาชิกครอบครัวคนอื่น เหล่านี้คือการเปรียบเทียบเพียงผิวเผินเท่านั้น ว่ารายได้และ “ตำแหน่งในสังคมทุนนิยม” มีผลต่อการเข้าถึงเวลาว่างอย่างไร
3 ตัวอย่างด้านบนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ทำให้คนมีอายุขัยยืนยาวเท่านั้น ยังมีการเข้าถึงบริการสาธารณสุข น้ำดื่มสะอาด ความเครียด อากาศสะอาด และอื่น ๆ อีกมาก ที่คนจนถูกผลักออกก่อนใคร
“If living were a thing that money could buy. You know the rich would live and the poor would die.” คือเนื้อเพลง All My Trials ของ Joan Baez ที่แปลว่า “ถ้าการมีชีวิตรอดคือสิ่งที่เงินซื้อได้ ก็คงรู้ว่าคนรวยจะอยู่ และคนจนคงจะตาย”
ประโยคนี้ไม่ไกลความจริงนัก ตัวอย่าง 3 ข้อเรื่องการนอน อาหาร และการออกกำลังกาย เป็นเพียง 3 ข้อจากวิธีการมากมายที่คนในปัจจุบันใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพดี
ลองมองในมุมภาพใหญ่ ข้อมูลที่ Our World Data สรุปไว้จากหลายแหล่งชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่มี GDP per capita มากกว่า มีอายุขัยเฉลี่ยของประชากรที่มากกว่า (2022) ตัวอย่างเช่น
และหากเรามองกราฟบนเว็บไซต์ดังกล่าวที่สรุปข้อมูลหลายประเทศรวมกัน เราจะเห็นได้เลยว่า กลุ่มประเทศรายได้ต่ำมีระดับอายุขัยเฉลี่ยที่ไต่ได้ไม่สูงนัก
เพราะยังไม่มีการศึกษาความสัมพันธ์มากนักในไทย จึงขอยกตัวอย่างงานจากตะวันตก มีงานวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวคือบทความเมื่อปลายปีก่อน Relationship between income and life expectancy by neighbourhood ที่เก็บข้อมูลคนกลุ่มต่าง ๆ ในสหราอาณาจักรระหว่างปี 2016-2020 และพบว่า เมื่อรายได้เพิ่ม อายุขัยของคนก็เช่นเดียวกัน หรืองานวิจัยของ MIT ที่แสดงให้เห็นว่า คนรวยที่สุด 1% แรกของสหรัฐฯ มีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนจนที่สุด 1% ท้ายถึง 14.6 ปี
งานของ MIT ยังเสนออีกว่า ช่องว่างอายุขัยของคนจนและคนรวยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา คนรวย 5% แรกมีชีวิตยืนยาวขึ้น (2.34 ปีในผู้ชาย และ 2.91 ปีในผู้หญิง) แต่ตัวเลขกลับเพิ่มน้อยกว่าในคนจน 5% ท้ายของประเทศ (ชายเพิ่ม 0.32 ปี และหญิง 0.04 ปี) น่าสงสัยว่า ในไทยเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่
ความเหลื่อมล้ำทางรายได้สะท้อนอยู่ในวันตายของคนจนและคนรวย เพราะระบบทุนนิยมถ่างช่องว่างนั้นให้กว้างขึ้นเรื่อย ๆ และคนผู้มีอภิสิทธิ์เท่านั้นจะเกาะเกี่ยว “การมีอายุยืนยาว” ได้ทัน
บทสนทนานี้คงมีไว้เพื่อคนที่พอจ่ายไหวเท่านั้น เพราะขนาดสิ่งพื้นฐานอย่างการนอนและการกิน คนรายได้ต่ำยังเข้าถึงได้ไม่มากพอด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เรากำลังจะพูดถึงสินค้าและบริการที่เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อให้เรามี “สุขภาพดีและชีวิตยืนยาว”
ท้องผูกเหรอ ชากุหลาบไหม? นอนไม่พอก็อาจจะต้องมีหมอนและเครื่องนอนชุดใหม่ ขาใหญ่มีพุงหมาน้อย ก็ไปฟิตเนสสิ หรือจะซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านก็ยังได้ หากหน้ามีริ้วรอย ก็มีสกินแคร์ขวดละหลายพันที่กดลงตะกร้าได้เลย หรือถ้าอยากได้ตัวอย่างอีกเหรอ? ตะกร้าของคุณในเว็บไซต์ซื้อของออนไลน์คงมีตัวอย่างเพิ่มเติมของสุขภาวะดีทุนนิยม
Wellness Capitalism หรือ สุขภาวะดีทุนนิยม หมายถึง ตลาดที่ความต้องการของมนุษย์ในการมีสุขภาพดี มีความสุข และความสมบูรณ์ ถ่ายทอดไปสู่การซื้อสินค้าและบริการ เป็นระบบที่เปลี่ยนแนวคิดการ “พัฒนาตัวเอง” เป็นการจับจ่าย และการจะมีสุขภาพดี มีชีวิตยืนยาวได้ ต้องผ่านธุรกรรมนานาประเภท รวม ๆ กลายเป็นสังคมที่สุขภาพเป็นผลลัพธ์ของพฤติกรรมการจับจ่าย
อีกสิ่งที่อันตรายของสุขภาวะทุนนิยมคือ การมอบหน้าที่การมีสุขภาพดีให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล อาจเป็นเพราะเหตุนี้ จึงมีการทำวิดีโอแนะนำการมีสุขภาพดีเริ่มที่ตัวเรา ทำได้เลย ทำได้ง่าย ใกล้ตัว ศูนย์บาท ออกมามากมาย เพราะหากคุณมีสุขภาพไม่ดี นั่นเป็นความรับผิดชอบของคุณ โดยมองข้ามปัจจัยที่ต่างกันในชีวิตแต่ละคน แล้วมองหาทางแก้เลย คือการซื้อสินค้า
แต่การซื้อสินค้าผลักคนออก และถึงแม้สินค้าพวกนั้นอาจไม่ได้ส่งผลต่อการมีสุขภาวะยืนยาวโดยรวมนัก แต่สิ่งทีมันทำคือ การเพิ่ม “อำนาจและลำดับชั้นทางสังคม” สุขภาวะทุนนิยมซึมซาบลึกไปจนถึงแบรนด์สินค้าที่เราใช้ ชื่อฟิตเนสที่ไป ร้านอาหารที่เข้าไปทานมื้อเย็น
เราถูกกดดันให้ต้องมีสุขภาพดี และแม้การมีสุขภาพดีจะเป็นผลดีต่อตัวเราเอง บางครั้ง แนวทางการมีสุขภาพดีอาจคับแคบเกินไป ราวกับว่าการมีสุขภาพดี และการจะมีชีวิตยืนยาว ทำให้ผ่านรูปแบบไม่กี่อย่างเท่านั้น และสุดท้าย สุขภาวะทุนนิยมที่เข้มแข็งนี่เอง อาจทำให้คนจนเข้าถึงการมีสุขภาพดียากขึ้นไปอีก
ผู้เขียนเชื่อว่า ผู้เชี่ยวชาญบนโลกออนไลน์ที่ให้คำแนะนำเรื่องการมีสุขภาพดีย่อมมีความรู้คงจะตระหนักในความต่างที่กล่าวมาทั้งหมดอยู่แล้ว แต่การนำเสนอที่ขาดความละเอียดละออ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด และใช้ไม่บรรทัดเดียววัดสังคมโดยรวม อาจสร้างความกดดันให้คนอีกมากและผลักคนอีกหลายคนให้ไกลจากการมีอายุยืนยาวมากกว่าเดิม