
ถ้าพูดถึงชีวิตหลังเกษียณ ภาพที่หลายคนยังนึกถึงมักเป็นบ้านเงียบ ๆ ในต่างจังหวัด อากาศดี ไม่วุ่นวาย ราวกับได้ถอยออกจากความเร่งรีบของเมืองใหญ่ไปใช้ชีวิตสบาย ๆ แต่เมื่อสังคมไทยก้าวเข้าสู่ยุคอายุยืนอย่างเต็มตัว ความจริงเริ่มชัดขึ้นว่า ภาพจำแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ทุกคนอีกต่อไป เพราะวัยเกษียณในวันนี้ไม่ใช่ช่วงพักสั้น ๆ หากเป็นช่วงชีวิตที่ยาวนานหลายสิบปี และต้องอาศัยทั้งสุขภาพ เวลา และเงินออมอย่างรอบคอบ คำถามว่า “จะไปอยู่ที่ไหน” จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้การวางแผนการเงินเพื่ออนาคต
ที่น่าสนใจคือ จากการสำรวจของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ที่อยู่อาศัยหลังเกษียณของคนจำนวนไม่น้อยกลับไม่ได้อยู่ไกลเมืองอย่างที่เคยคิด หากยังเลือกปักหลักอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองที่หลายคนเคยอยากหนี แต่กลับพิสูจน์ว่าเป็นเมืองที่ใช้ชีวิตได้จริงในวัยเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงโรงพยาบาลได้สะดวก ระบบขนส่งสาธารณะที่ช่วยลดภาระการขับรถ หรือบริการรอบด้านที่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันไม่สะดุด
เมื่อมองภาพรวม ภาพของการเกษียณจึงค่อย ๆ เปลี่ยนจากการ “อยู่ให้สงบ” มาเป็นการ “อยู่ให้สะดวก” และกรุงเทพฯ ก็กำลังถูกมองในบทบาทใหม่ ในฐานะเมืองที่ตอบโจทย์ชีวิตยืนยาวของผู้สูงวัย มากกว่าจะเป็นเมืองที่ต้องหลีกหนีออกมาในบั้นปลายชีวิต
ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ จากผลของความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ช่วยยืดอายุขัยของประชาชน ขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันไทยเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” (Complete Aged Society) โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ
ข้อมูลจากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ผู้สูงอายุมีสัดส่วน 20.2% หรือมากกว่า 14 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super Aged Society) ที่มีผู้สูงอายุเกิน 28% ภายในปี 2574 สถานการณ์นี้สะท้อนว่าคนไทยจำนวนมากกำลังจะใช้ชีวิตในช่วงหลังวัยทำงานยาวนานกว่าที่เคยเป็นมา
การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวไม่ได้หมายถึงภาระทางสังคมเพียงด้านเดียว แต่กำลังสร้างพลวัตใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจ ผู้สูงอายุไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแล หากแต่เป็นกลุ่มที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการบริโภค ข้อมูลจากการศึกษาเศรษฐกิจสูงวัยของไทย ปี 2566 โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของผู้สูงอายุมีมูลค่าสูงถึง 2.18 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2576 หรือเติบโตเฉลี่ยราว 4.83% ต่อปี
ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำการเกิดขึ้นของ “Longevity Economy” ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มประชากรที่มีอายุยืนยาวขึ้น พร้อมทั้งมีสุขภาพกายและใจที่ดี และต้องการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในทุกมิติ ไม่ใช่เพียงการมีอายุขัยที่ยาวขึ้นเท่านั้น หนึ่งในปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่สุดของ Longevity Economy คือ “ที่อยู่อาศัย” ซึ่งต้องสามารถรองรับการใช้ชีวิตในระยะยาวได้อย่างปลอดภัย มั่นคง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง
ข้อมูลจากแบบสำรวจพฤติกรรมการซื้อ-เช่าอสังหาริมทรัพย์และการวางแผนอนาคตของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของไทย ชี้ให้เห็นว่า การวางแผนชีวิตหลังเกษียณได้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างชัดเจน โดยเกือบ 9 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสำรวจ หรือคิดเป็น 88% ระบุว่าเริ่มนึกถึงการวางแผนเกษียณแล้ว ขณะที่ 38% ยอมรับว่านึกถึงประเด็นนี้อยู่ตลอดเวลา สะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปว่า “วัยเกษียณ” ไม่ได้เป็นเรื่องของอนาคตอันไกล หากแต่เป็นช่วงชีวิตที่ต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงอายุหรือจังหวะเวลาที่กำหนดไว้แบบเดิม
เมื่อพิจารณาเป้าหมายชีวิตหลังเกษียณ พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ “การมีเงินออมเพียงพอสำหรับดูแลสุขภาพ” เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยความต้องการมีอิสรภาพทางการเงิน การใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงมากขึ้น การใช้ชีวิตแบบปลอดหนี้ และการวางแผนท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ เป้าหมายเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของการวางแผนการเงินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตหลังเกษียณ ทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยตระหนักถึงความจำเป็นในการเริ่มเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายได้ตามภาพฝันที่วางไว้
ในด้านทำเลที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ กรุงเทพมหานครยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของผู้บริโภค ด้วยสัดส่วนถึง 33% จากความพร้อมรอบด้านในฐานะเมืองหลวง ทั้งระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานสูง พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งเอื้อต่อการดูแลสุขภาพในระยะยาว รองลงมาคือ เชียงใหม่ นครราชสีมา และกลุ่มจังหวัดรอบกรุงเทพฯ อย่างชลบุรี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงภูเก็ต ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจอีก 11% ระบุว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับทำเลเป็นพิเศษ เพียงขอให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยก็เพียงพอ
ทิศทางความต้องการดังกล่าวยังส่งผลให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เร่งปรับตัวรับเทรนด์ Longevity อย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า ณ ปี 2568 ประเทศไทยมีโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุเปิดให้บริการรวม 1,040 โครงการ เพิ่มขึ้น 4.4% แบ่งเป็นโครงการ Nursing Home จำนวน 944 โครงการ และโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Residence อีก 96 โครงการ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับสังคมสูงวัย และการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต สุขภาพ และความมั่นคงในการอยู่อาศัยของผู้บริโภคในช่วงหลังเกษียณอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
เมื่อการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพกลายเป็นหัวใจสำคัญของ Longevity Economy การเตรียมความพร้อมด้านที่อยู่อาศัยจึงไม่ใช่เพียงการเลือกบ้านหรือคอนโดฯ สำหรับอยู่อาศัยในปัจจุบัน หากแต่คือการออกแบบพื้นที่ชีวิตที่สามารถรองรับการใช้ชีวิตในระยะยาวได้อย่างปลอดภัย มั่นคง และเกื้อหนุนทั้งสุขภาพกายและใจ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ระบุว่า แนวคิดการออกแบบและปรับพื้นที่อยู่อาศัยในยุคนี้ต้องมองไกลกว่าฟังก์ชันการใช้งานทั่วไป แต่ต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน
แนวคิดสำคัญประการหนึ่งคือ “อารยสถาปัตย์” หรือ Universal Design ซึ่งมุ่งออกแบบสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ให้ทุกคนสามารถใช้งานได้อย่างเท่าเทียม ไม่จำกัดอายุ เพศ หรือสภาพร่างกาย แนวคิดนี้สอดรับกับสังคมสูงวัยที่ต้องการความปลอดภัยในระยะยาว โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การออกแบบจึงต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่พื้นกันลื่น ราวจับในจุดสำคัญ ระบบแสงสว่างที่เพียงพอ ไปจนถึงอุปกรณ์แจ้งเหตุฉุกเฉินในห้องนอนหรือห้องน้ำ ฟังก์ชันเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี
อีกองค์ประกอบที่ไม่อาจมองข้ามคือการเลือกเฟอร์นิเจอร์ตามหลักการยศาสตร์ หรือ Ergonomics ซึ่งเป็นการออกแบบให้สอดคล้องกับสรีระและการใช้งานของมนุษย์ แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแก้ปัญหาสุขภาพจากการทำงานหน้าจอเท่านั้น แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับพื้นที่อยู่อาศัยได้โดยตรง ตั้งแต่เตียงและหมอนที่ช่วยพยุงกระดูกสันหลัง โซฟาที่นั่งสบายและลุกง่าย ไปจนถึงโต๊ะรับประทานอาหารที่มีความสูงเหมาะสม รายละเอียดเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของอาการปวดเมื่อยและการบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน และถือเป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าในระยะยาว
ทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยก็มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพชีวิตในวัยยืนยาว การเลือกโครงการที่เดินทางสะดวก ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ ช่วยลดภาระการขับรถด้วยตนเองเมื่อสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย ขณะเดียวกัน การอยู่ใกล้โรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพยังช่วยเพิ่มความอุ่นใจ สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันยังมีโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัยซึ่งผสานบริการด้านสุขภาพผ่านความร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์ดูแลสุขภาพ นับเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์การดูแลระยะยาวได้อย่างเป็นระบบ
สภาพแวดล้อมโดยรอบยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและใจ ผู้สูงอายุจำนวนมากใช้เวลาอยู่ภายในบ้านเป็นหลัก การมีพื้นที่สีเขียว ไม่ว่าจะเป็นสวนเล็ก ๆ ในบ้าน การตกแต่งด้วยต้นไม้ หรือการเลือกโครงการที่มีสวนส่วนกลางและอยู่ใกล้สวนสาธารณะ ล้วนช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ลดความเครียด และส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจ ขณะเดียวกัน การทำสวนหรือดูแลต้นไม้ยังสามารถกลายเป็นกิจกรรมยามว่างที่ช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างเหมาะสม
เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตในที่อยู่อาศัย เทรนด์บ้านอัจฉริยะหรือ Smart Home ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย ตั้งแต่การควบคุมแสงสว่างและเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน ระบบฟอกอากาศและปรับอากาศที่ช่วยดูแลสุขภาพ ไปจนถึงระบบรักษาความปลอดภัยอย่างกลอนประตูดิจิทัล เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และกล้องวงจรปิด นอกจากนี้ เทคโนโลยียังช่วยลดข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหว เช่น การติดตั้งลิฟต์บันได เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้งานพื้นที่หลายชั้นได้อย่างปลอดภัย
ท้ายที่สุด การมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพไม่ได้หมายถึงการดูแลสุขภาพเพียงมิติเดียว แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์และความอบอุ่นในครอบครัว การออกแบบพื้นที่ให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่นสำหรับสังสรรค์ รับประทานอาหาร ดูซีรีส์ หรือทำงานอดิเรกร่วมกัน ช่วยลดความโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน พื้นที่สำหรับออกกำลังกายหรือกายภาพบำบัด เช่น มุมโยคะหรืออุปกรณ์ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับทุกวัย ก็ช่วยเสริมสร้างสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ
ในท้ายที่สุด เป้าหมายของการอยู่อาศัยในยุค Longevity Economy อาจไม่ใช่เพียงการมีชีวิตที่ยืนยาว แต่คือการมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ความปลอดภัย และอิสระในการใช้ชีวิต บ้านที่ได้รับการออกแบบอย่างรอบด้านเพื่อรองรับผู้สูงอายุ ย่อมส่งผลให้สมาชิกทุกวัยในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีความสุขไปพร้อมกัน