BBC รายงานว่า ชาวบ้านและกลุ่มผู้สังเกตการณ์เห็นขบวนรถถังของกองทัพอิสราเอลหลายสิบคันบุกเข้ามายัง ‘เขตชีค รัดวาน’ ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยใจกลางกาซา และมีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง ภาพวิดีโอแสดงให้เห็นรถถัง รถแทร็กเตอร์เกลี่ยหน้าดิน และรถลำเลียงพลหุ้มเกราะ กำลังเคลื่อนตัวอยู่บริเวณรอบ ๆ เขตชีค รัดวาน ทางตอนเหนือของกาซา ขณะที่กองกำลังอิสราเอลยิงปืนใหญ่และระเบิดควันหนาทึบเพื่อบดบังการรุกคืบของพวกเขา
อิสราเอลระบุว่า เป้าหมายของการโจมตีฉนวนกาซาซิตี้คือการ ปล่อยตัวตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัว และ กำจัดกองกำลังฮามาสได้มากถึง 3,000 นาย ซึ่งอิสราเอลอ้างว่ากาซาเป็น "ฐานที่มั่นสุดท้าย" ของกลุ่มฮามาส
ทั้งนี้ เขตชีค รัดวาน ประกอบด้วยพื้นที่สำคัญอย่างอาบู อิสกันดาร์, อัล-เตาวัม และอัล-ซาฟตาห์ และมีถนน อัล-จาลา ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมโยงใจกลางกาซาซิตี้กับหลายเขตทางตอนเหนือ ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวว่า การที่กองกำลังอิสราเอลเข้าควบคุมย่านนี้อาจเปิดทางให้พวกเขารุกคืบเข้าสู่เมืองได้ลึกขึ้นและไปถึงใจกลางเมือง
ก่อนเกิดสงคราม พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในเขตที่คึกคักที่สุดของฉนวนกาซาซิตี้ เป็นที่ตั้งของโรงเรียน มัสยิด และตลาดหลายสิบแห่ง แต่ภาพรถถังที่ปรากฏบนถนนในฉนวนกาซาซิตี้ได้สร้างความตื่นตระหนกอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังคงอาศัยอยู่ในส่วนตะวันตกและใจกลางของเมือง พยานกล่าวว่า การได้เห็นรถถังเข้าใกล้บ้าน ทำให้พวกเขานึกถึงการบุกรุกครั้งก่อน ๆ ซึ่งจบลงด้วยการที่ทั้งพื้นที่ถูกทำลายราบคาบ
การบุกรุกทางบกเกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างหนักในหลายระลอก ซึ่งพุ่งเป้าไปที่อาคารและถนนสายหลักทั่วพื้นที่ หลายฝ่ายเชื่อว่า เป็นการเตรียมการสำหรับการโจมตีภาคพื้นดิน โดยโดรนของอิสราเอลโจมตีย่านที่อยู่อาศัยของพวกเขาจนสิ้นซาก ทำลายทั้งแผงโซลาร์เซลล์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ถังเก็บน้ำ และแม้กระทั่งเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
นายซาอัด ฮามาดา ชาวบ้านในพื้นที่เล่าว่า เขาและครอบครัวจำต้องอพยพหนีตายออกจากพื้นที่ แม้การอพยพจะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เพราะการใช้ชีวิตโดยปกติสุขในที่แห่งนี้ เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
การบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดคลื่นผู้อพยพระลอกใหม่ ขบวนรถและเกวียนบรรทุกสัมภาระเรียงรายยาวเหยียดบนถนน เมื่อกองทัพอิสราเอลเปิดเส้นทางสู่ทิศใต้ผ่านถนน ซาลาเฮดิน ชาวบ้านรายงานว่า การเดินทางใช้เวลาหลายชั่วโมงและมีค่าใช้จ่ายหลายร้อยเชเกล (100 เชเกิล = 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เนื่องจากรถโดยสารหายากและราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ระบุเมื่อวันอังคารว่า มีประชาชนประมาณ 350,000 คนอพยพออกจากเมืองกาซา ขณะที่สหประชาชาติประเมินตัวเลขไว้ที่ 190,000 คนนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม คาดการณ์ว่ายังมีประชาชนอย่างน้อย 650,000 คนที่ยังเหลืออยู่
ผู้นำหน่วยงานบรรเทาทุกข์สำคัญกว่า 20 แห่ง รวมถึง Save the Children และ Oxfam ออกมาเตือนว่า "สถานการณ์ในฉนวนกาซแสดงถึง “ความไร้ซึ่งมนุษยธรรม” ของอิสราเอล อีกทั้งหน่วยงานของสหประชาชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ กล่าวว่า "พื้นที่ด้านมนุษยธรรม" ที่คาดว่าผู้คนจะต้องอพยพเข้าไปนั้นแออัดอย่างหนักและไม่เพียงพอที่จะรองรับชาวปาเลสไตน์ราว 2 ล้านคน เพราะคาดว่าพวกเขาจะต้องแออัดกันอยู่ที่นั่น
ผู้อพยพบางส่วนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพให้อพยพไปยังพื้นที่ดังกล่าวบอกว่า พวกเขาไม่มีพื้นที่ที่จะกางเต็นท์ ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางกลับขึ้นเหนือ มูนีร์ อัซซัม ชาวบ้านที่อพยพกลับทางตอนเหนือเล่าว่า “ทหารอิสราเอลแจกใบปลิวสั่งอพยพชาวบ้านทุกวัน ขณะที่กองทัพอิสราเอลยิงถล่มอาคารบ้านเรือนไปทุกทิศทุกทาง แต่เมื่ออพยพไปทางตอนใต้ กลับไม่มีที่หลบภัยทางตอนใต้เลย”
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขของกาซาที่อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มฮามาส รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลอย่างน้อย 65,062 รายนับตั้งแต่สงครามปะทุในเดือนตุลาคมปี 2023 โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิงและเด็ก
รายงานล่าสุดระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุยิงของอิสราเอล 98 ราย และบาดเจ็บ 385 รายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตอีก 4 รายจากภาวะทุพโภชนาการ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากภาวะทุพโภชนาการ นับตั้งแต่หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติประกาศภาวะอดอยากในเมืองกาซาเมื่อปลายเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นเป็น 154 รายแล้ว
UN ได้เตือนว่า การรุกคืบที่รุนแรงขึ้นเช่นนี้ จะผลักดันพลเรือนเข้าสู่ "หายนะที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น" ด้านคณะกรรมการสอบสวนของสหประชาชาติระบุว่า อิสราเอลกำลังก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา แต่กระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลปฏิเสธรายงานดังกล่าว พร้อมประณามว่า สหประชาชาติเผยแพร่ข้อมูล "บิดเบือนและเป็นเท็จ"