
หากมีคนไทยยืนเรียงกัน 100 คนตอนนี้ คุณรู้หรือไม่ว่ากว่า 20 คนในนั้น มีคนอายุมากกว่า 60 ปี นั่นจึงทำให้ประเทศไทยได้เลื่อนขั้นเป็น “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” เรียบร้อยแล้ว
ความน่าห่วงคือประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จาก 8.7 ล้านคนเป็น 14 ล้านคน
แบบนี้แล้วตำแหน่ง “สังคมสูงวัยสุดยอด” หรือการมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี มากกว่า 28% คงไม่ใช่อนาคตอันไกลเท่าไหร่ มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2593หรืออีก 25 ปีจากนี้ประชากรไทยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะมีมากกว่า 30% ของประชากรไทย
คำถามคือมีอะไรรออยู่เมื่อเรา ‘แก่’ ? วันนี้ Spotlight อยากชวนสำรวจ “ความท้าทายของคนสูงวัย” ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับอะไรบ้าง และแนวโน้มในอนาคตว่าสังคมสูงวัยในไทยจะมีสภาพที่ดีขึ้นได้หรือไม่
คนสูงวัยคือคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งอ้างอิงจากการสำรวจประชากรสูงอายุในไทยปี 2567 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งประเทศไทยมีคนสูงวัยอยู่ 14 ล้านคน เป็นหญิงมากกว่าชาย และหากแบ่งตามกลุ่มอายุแล้ว 59.3% เป็นผู้สูงอายุวัยต้น 60-69 ปี 29.8% เป็นผู้สูงอายุวัยกลาง 70-79 ปี และอีก 10.9% เป็นผู้สูงอายุวัยปลาย หรือ 80 ปีขึ้นไป
หากถามว่าคนสูงวัยอยู่ที่ไหนมากที่สุดในประเทศไทย เราจะพบว่า ภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีประชากรคนสูงวัยมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดลำปาง 28% แพร่และลำพูน 27% พะเยา 26% ส่วนจังหวัดที่มีสัดส่วนคนสูงวัยน้อยที่สุดคือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลาที่ 13% และหากอ้างอิงตามข้อมูลปี 2566 กรุงเทพฯ เองก็มีผู้สูงวัยไม่น้อยเช่นกัน คือที่ 22.88% เขตที่มีคนสูงวัยมากที่สุดคือเขตพระนคร 32.21%
ที่น่าสนใจคือ อายุขัยเฉลี่ยที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้มีอายุเกิน 100 ปีจำนวนไม่น้อย ในประเทศไทย 3 จังหวัดที่มีคนอายุเกิน 100 ปีมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร 6,579 คน นนทบุรี 1,416 คน และเชียงใหม่ 1,152 คน
ผลสำรวจชี้ว่า ผู้สูงอายุ 34% ยังคงทำงานอยู่ และกลุ่มที่ยังทำงานเป็นชาย (44.7%) มากกว่าหญิง (26.2%) สาเหตุเกินครึ่ง (51.5%) มาจากยังมีสุขภาพแข็งแรง และมีแรงทำงาน และรองลงมาคือ จำเป็นต้องหาเลี้ยงครอบครัวหรือตนเอง (43.5%) ราว 1.7% เพราะเป็นอาชีพที่ไม่มีคนมาทำแทน และ 1.4% เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
และหากแบ่งกลุ่มผู้สูงวัยตามสถานภาพทางการเงินจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ
- กลุ่มมีความมั่นคงทางการเงิน 32.6% หรือ 3.7 ล้านคน เป็นกลุ่มที่มีลูกและเงินออมเพียงพอ หรือมีเงินออมมากกว่าค่าใช้จ่าย 25%
-กลุ่มมีความเสี่ยงทางการเงิน 17.3% หรือ 2.0 ล้านคน - มีลูกและขาดเงินออมสำหรับใช้จ่ายไม่เกิน 25% หรือไม่มีลูกและมีเงินออมเกินค่าใช้จ่ายไม่ถึง 25%
-กลุ่มไม่มั่นคงทางการเงิน 50.1% หรือ 5.7 ล้านคน มีลูกและมีเงินออมไม่พอค่าใช้จ่ายเกิน 25% หรือไม่มีลูกและมีเงินไม่พอใช้จ่าย
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติปี 2567 พบว่า อัตราส่วนพึ่งพิงผู้สูงอายุ หรือสัดส่วนการที่คนทำงานต้องรับผิดชอบดูแลคนสูงวัย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2537 อัตราส่วนพึ่งพิงสูงวัยอยู่ที่ 10.7% เพิ่มขึ้นเป็น 31.1% ในปี 2567 นั่นคือ ประชากรวัยทำงาน 100 คน ต้องรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุประมาณ 31 คน
บางส่วนอาจไม่ได้เป็นเสาหลักให้คนสูงวัยในบ้านเสียทีเดียว แต่ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล เรียกว่าอัตราส่วนเกื้อหนุน ซึ่งรายงานพบว่าลดลงต่อเนื่อง หากดูลักษณะการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ คนสูงอายุ 64.5% อาศัยอยู่กับบุคคลอื่น 22.6% อาศัยกับคู่สมรสเพียงลำพัง และ 12.9% อาศัยอยู่คนเดียว
แม้อายุขัยเฉลี่ยคนไทยจะมากขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าวาระสุดท้ายที่ยืดยาวไป จะหมายถึงการอยู่อย่างมีสุขภาวะที่ดี ข้อมูลจากสำนักนโยบายสุขภาพระหว่างประเทศปี 2566 ชี้ว่า แม้อายุขัยเฉลี่ยคนไทยจะอยู่ที่ 74.2 ปี แต่อายุที่เราอยู่อย่างมีสุขภาวะที่ดีนั้นคือ 67.2 เท่ากับว่าโดยเฉลี่ย 7 ปีสุดท้ายของชีวิตคนไทยอยู่แบบมีความสมบูรณ์ทางกายภาพน้อย หรือพูดง่ายๆก็คือ เรามีความเจ็บป่วยนานขึ้น
จังหวัดที่ผู้สูงอายุมีชีวิตอยู่กับความไม่สมบูรณ์ทางกายภาพมากที่สุด หรือมากกว่า 7.7 ปี คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี หนองคาย สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และแม่ฮ่องสอน
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุไทยที่มีความเสี่ยงสุขภาพ 9 มิติ (ความจำ, การเคลื่อนไหว, ขาดสารอาหาร, มองเห็น, ได้ยิน, ซึมเศร้า, กลั้นปัสสาวะ, ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน, ช่องปาก) ยังเพิ่มขึ้นมากกว่า 55% ตามข้อมูลปี 2565-2567
สาเหตุการเสียชีวิตของผู้สูงวัยไทยก็ไม่ต่างกับคนส่วนใหญ่ทั่วโลกคือ เสียชีวิตจากโรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 5 โรคสาเหตุการเสียชีวิตของผู้สูงวัยไทยคือ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคสมองเสื่อม ตามลำดับ
แต่โรคและความเจ็บป่วยไม่ใช่อันตรายอย่างเดียวของคนสูงวัย โครงการศึกษาและดำเนินงานการป้องกันการหกล้มในผู้สูงวัยประเทศไทยเผยว่า โดยเฉลี่ย ผู้สูงวัยหกล้ม 3 คนต่อวัน และอัตราการหกล้มในผู้สูงอายุมากกว่าคนทุกกลุ่มถึง 3 เท่า
ใน 1 ปี มีผู้สูงอายุหกล้ม 5.5 ล้านคน หรือเทียบเป็น 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุ ในจำนวนนั้น เกือบ 6 หมื่นคนได้รับบาดเจ็บและต้องเข้ารับการรักษา
การหกล้มบอกอะไรเรา? นอกจากศักยภาพด้านร่างกายที่เสื่อมถอย การหกล้มอาจเป็นคำใบ้บอกเราว่า สภาพแวดล้อมที่เรามี ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ กล่าวอย่างง่ายคือ สร้างมาให้คนที่ไม่มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่เมื่อเรามีข้อจำกัดนั้น อาทิ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ สภาพแวดล้อมจะกลายเป็นภัยทันที
สภาพแวดล้อมที่ไม่เปิดรับผลักให้คนที่มีข้อจำกัดด้านกายภาพเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมได้จำกัด หากเราลองออกไปในพื้นที่สาธารณะ จะเห็นว่าคนกลุ่มนี้ปรากฏตัวน้อยกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งไม่ใช่เพราะมีอยู่น้อย แต่เป็นเพราะถูกขังไม่ให้เคลื่อนไหวอย่างเสรีต่างหาก
และสภาพแวดล้อมไม่ใช่แค่ทำให้ผู้สูงอายุหกล้ม แต่ยังเป็นสาเหตุของโรค NCDs อีกด้วย เพราะเป็นโรคที่เกิดจากเพราะเป็นโรคที่เกิดจากการสะสมพฤติกรรมตั้งแต่อายุน้อย สภาพแวดล้อมบางแบบทำให้เกิดโรคได้ง่ายกว่า
ผลจากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 6 พบว่า เขตเมืองมีความชุกของโรคเรื้อรังสูงกว่าชนบท อาทิ ภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน ในขณะที่เมืองเติบโต และคนสูงวัยในอนาคต (พวกเรานั่นเอง) มีแนวโน้มจะอาศัยในเมืองมากขึ้น
แล้วเมืองแบบไหนที่เป็นมิตรกับคนสูงวัย อ่านได้ที่นี่