Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ป่วยง่ายเพราะเมือง? เมืองแบบไหนอยู่แล้ว สุขภาพดี รับสังคมสูงวัย
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

ป่วยง่ายเพราะเมือง? เมืองแบบไหนอยู่แล้ว สุขภาพดี รับสังคมสูงวัย

20 ก.ย. 68
10:47 น.
แชร์

ชรา ชรฺ แปลว่า เสื่อม แน่นอนว่า อายุขัยที่มากขึ้นมาพร้อมกับข้อจำกัด นอกจากด้านกายภาพของปัจเจกบุคคล อีกข้อจำกัดคือสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ออกแบบมารองรับคนที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ อย่างคนชรา

คนชราและเมือง สองสิ่งที่รอคนไทยในอนาคต

ไม่ใช่แค่อนาคต แต่สำหรับประเทศไทย ความสูงวัยคือปัจจุบัน ตอนนี้เราได้ชื่อว่าเป็นสังคมสูงวัยสมบูรณ์ ด้วยการมีประชากรอายุ 60 ปีหรือมากกว่า เป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และเพิ่มขึ้น 2 เท่าตลอดทศวรรษที่ผ่านมา การย้อนกลับไปเป็นสังคมวัยเยาว์ดูท่าจะเป็นไปได้ยาก มาก และการปรับตัวให้พร้อมรับสังคมถือไม้เท้าดูมีความเป็นไปได้มากกว่า

อีกสิ่งที่มีแนวโน้มจะมากขึ้นพร้อมประชากรสูงวัยคือ “เมือง” ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา พื้นที่ในประเทศไทยถูกพัฒนาให้เป็นเมืองมากกว่าเป็นชนบท โดยมีพื้นที่เมืองคิดเป็น 51% ของประเทศ และมีแนวโน้มจะมากขึ้นเรื่อย ๆ World Urban Prospect คาดการณ์ว่าภายในปี 2593 พื้นที่เมืองในไทยจะเพิ่มเป็น 72% ทีเดียว

เมื่อรวมกับการคาดการณ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า  ภายในปี 2576 ไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด” หรือมีผู้สูงอายุมากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศแล้ว คนแก่และเมืองคงหนีกันไม่พ้น แต่ความเป็นเมืองที่ฟังดูเหมือนมีความเจริญตามมากลับไม่ได้ตอบสนองเรื่องสุขภาวะคนอาศัยมากนัก เพราะพบว่าคนป่วยในเมืองมากกว่าคนป่วยในชนบท ดังนั้นแล้วการปรับสังคมรองรับสังคมผู้สูงวัย เมืองจึงเป็นหนึ่งในก้าวแรกที่สำคัญมาก

เพราะไม่ใช่แค่ “สำหรับคนสูงวัย” แต่สำหรับ “ทุกคน” ทุกวัยให้อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ

เมืองกำหนดสุขภาพผู้อยู่ตลอดชีวิต

จากผลการศึกษา พบว่าสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทยคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ที่สูงถึง 74% หรือราว 4 แสนรายต่อปี ที่มีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกิน การเคลื่อนไหว การดื่มแอลกอฮอล์ หรืออื่น ๆ

นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานกรรมการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ กล่าวถึงความสำคัญของการใส่ใจสุขภาพตั้งแต่วัยเยาว์ในงานเสวนาหัวข้อ “เคลื่อนเมืองอย่างไรให้สูงวัยอย่างเป็นสุข” เพื่อลดความเสื่อมของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยชรา

“การช่วยกันดูแลสุขภาพผู้ก่อนสูงวัย และหลังสูงวัย จะทำให้การต้องพึ่งพิงสถานเลี้ยงดูคนชราลดลง และการแก่ที่บ้าน ในชุมชนจะได้มากขึ้น” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างการศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น

และอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของเราตลอดชีวิตคือ “เมือง” เมืองคือสิ่งกำหนดพฤติกรรม เมืองที่มีทางเท้าดีเชิญชวนคนในเมืองออกมาเดินนอกบ้านมากกว่า เมืองที่มีการขนส่งสาธารณะที่ดีทำให้มลภาวะทางอากาศลดลง เมืองที่เร่งรีบและเหลื่อมล้ำทำให้คนกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เมืองที่มีพื้นที่สาธารณะน้อยทำให้คนมีปฏิสัมพันธ์กันน้อยลง

อาศัยอยู่ในเมืองทุกวัน บางคนตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนรับเบี้ยคนชรา เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

แต่เมืองทำหน้าที่ดีพอหรือยังในการดูแลสุขภาพคน?

“องค์การอนามัยโลกได้ชี้ชัดว่า เมืองที่ดีต้องทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเอื้อให้เรามีสุขภาพดี โดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากในการเก็บออมหรือแบ่งเวลา 2 ชั่วโมงเพื่อไปฟิตเนส แต่ [การส่งเสริมให้มีสุขภาพดี] ควรอยู่ในชีวิตประจำวันเลย” รองศาสตราจารย์ ดร. นิรมล เสรีสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) กล่าว

หากมองจากข้อมูลตัวเลข รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจสุขภาพครั้งที่ 6 ชี้ว่า คนไทยในเขตเมืองมีความชุกของโรคเรื้อรังสูงกว่าชนบท อาทิ คนในเขตเทศบาลมีภาวะอ้วน 44.8% ขณะที่นอกเขตเทศบาล 40.8% ความดันโลหิตสูงในเขตเทศบาล 26.0% นอกเขตเทศบาล 25.1% โรคเบาหวานอยู่ที่ 10.4% และ 9.0% และโรคหลอดเลือดหัวใจ 2.3% ต่อ 1.6%

ข้อมูลชุดนี้บอกเราว่า เมืองในประเทศไทยสร้างผลลบต่อสุขภาพมากกว่าพื้นที่ชนบท และหากเราไม่ปรับวิถีที่ทำอยู่ ซึ่งคือ คนสูงวัยมากขึ้น เมืองมากขึ้น เมืองไม่ดีต่อสุขภาพ นั่นคงไม่ผิดที่จะบอกว่าเราจะมีคนสูงวัยที่สุขภาวะไม่ดีอาศัยในเมืองมากขึ้นนั่นเอง

อาจารย์นิรมลตั้งคำถามว่า หากคนสูงวัยไร้ลูกหลาน (เนื่องจากคนเกิดน้อยลง) ต้องใช้ชีวิตในเมืองต่อ เมืองพร้อมรองรับแล้วหรือไม่

“เราเห็นนโยบายขยายระยะเวลาการทำงานให้นานขึ้น เปลี่ยนไปเกษียณที่ 65 หรือ 75 เพราะไม่มีใครดูแล เด็กไม่เกิดแล้ว แต่ประเด็นคือ แล้วถ้าเราต้องทำงานไปจนถึงอายุ 65-70 ตอนที่เราแข้งขาไม่ดี เราจะทำยังไง” อาจารย์นิรมลกล่าว

เมืองที่เราเมื่อสูงวัยต้องการ

UddC เปิดเผยรายงานวิจัย การพัฒนาดัชนีประเมินความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมเมืองกับสุขภาวะคนในเมืองในยุคสังคมสูงวัย แนวคิดการวิจัยครั้งนี้มีรากฐานว่า สภาพแวดล้อมคือตัวกำหนดพฤติกรรมและลักษณะประชากร และพฤติกรรมนี้เองแปรผันตามสภาพแวดล้อม จึงพัฒนาดัชนีที่ใช้บ่งชี้ว่า “เมืองที่ดีสำหรับสังคมสูงวัยเป็นอย่างไร” ขึ้นมา

อาจารย์อดิศักดิ์ กันทเมืองลี้ รองผู้อำนวยการ UddC กล่าวว่า แท้จริงพื้นฐานของเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ คือเมืองที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เสียก่อนหรือพูดง่ายๆ เมืองต้องตอบสนองความเป็นเมืองให้ดีก่อน 

“ก่อนจะไปถึงการออกแบบเมืองสำหรับคนสูงวัย ต้องออกแบบเมืองที่ตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ หรือคนที่อยู่ในเมืองเป็นพื้นฐาน [...] แล้วค่อยเติมประเด็นเรื่องสูงวัย ที่มีความต้องการซับซ้อนขึ้น มีมิติด้านสุขภาพ การมีส่วนร่วม การสร้างความมั่นคง และความปลอดภัยให้เกิดขึ้นสำหรับผู้สูงอายุ หรือก่อนสูงอายุในเมืองนั้น” อาจารย์อดิศักดิ์กล่าว

งานวิจัยของ UddC สำรวจข้อมูลจากหลากหลายองค์กร สรุปได้ว่าปัจจัยหลัก 3 ข้อที่ส่งผลดีต่อสุขภาวะเมือง ทั้งต่อคนสูงวัยแล้ว และที่จะสูงวัยในอนาคต คือ ความปลอดภัย (47%) สุขภาพ (27%) และการมีส่วนร่วม (26%)

ซึ่งจาก 3 หัวข้อนี้พบว่าเมืองในไทยยังมีความพร้อมในระดับไม่สูง ได้แก่ สุขภาพ มีความพร้อม 41% การมีส่วนร่วม 32% ความปลอดภัย 27% ฉะนั้น ผลวิจัยนี้จึงออกแบบดัชนีที่ใช้วัดความพร้อมออกมา แบ่งได้เป็น 3 หมวดหลัก:

ความปลอดภัย (Security)

  1. ความปลอดภัยทางสังคม
  2. การคมนาคม
  3. ที่อยู่อาศัย
  4. ความปลอดภัยในการตั้งถิ่นฐาน
  5. การคุ้มครองทางสังคมและการเงิน

สุขภาพ (Health)

  1. บริการด้านสาธารณูปโภค
  2. สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน
  3. โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข
  4. ทรัพยากรด้านการดูแลสุขภาพ

การมีส่วนร่วม (Participation)

  1. การมีส่วนร่วมทางพลเมือง
  2. โอกาสเข้าถึงการศึกษา
  3. การมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน
  4. การมีส่วนร่วมทางสังคมและวัฒนธรรม

เมื่อนำดัชนีนี้ไปวัดความพร้อมของจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย พบว่า จังหวัดที่มีความพร้อมสำหรับสังคมสูงวัยมากที่สุด (ไม่นับกรุงเทพฯ) ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ ตราด และนครปฐม ส่วนจังหวัดที่มีความพร้อมน้อยที่สุด คือ แม่ฮ่องสอน นครนายก บุรีรัมย์ ยะลา และสตูล

จังหวัดที่มีศักยภาพสูง รายงานชี้ว่าเป็นเพราะ โครงสร้างพื้นฐานและบริการรองรับผู้สูงวัยดี ระบบสุขภาพและสภาพแวดล้อมดี ความเหลื่อมล้ำต่ำ สังคมเข้มแข็ง และมีการมีส่วนร่วมสูง

ส่วนจังหวัดที่มีความเปราะบางมาก เป็นเพราะ โครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม ปัญหาสุขภาพสูง ความเหลื่อมล้ำมาก เป็นเมืองเล็ก เข้าสู่สังคมสูงวัยเร็ว และระบบสวัสดิการไม่เพียงพอ

ในงาน มีการพูดคุยถึงความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม ซึ่งจะส่งผลดีต่อสภาพจิตของผู้สูงวัย เป็นการฝึกฝนสมอง และได้ขยับร่างกายไปด้วย แต่ ข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม อาจกลายเป็นกรงขังที่สอง ต่อจากร่างกายที่เสื่อมลง ซึ่งทำให้ผู้สูงวัยไม่สามารถออกไปนอกบ้าน ทำงาน หรือเข้าสังคมได้

เมืองสำหรับผู้สูงวัยจะต้องมีความสะดวกตั้งแต่ในบ้านถึงนอกบ้าน ทำให้สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ ลดการพึ่งพิงผู้อื่น เดินทางง่าย เดินทางถึงพื้นที่สาธารณะและบริการทางการแพทย์ได้เร็ว

สาธารณสุข เป็นอีกข้อที่ต้องให้ความสำคัญ คนอายุมากหาหมอบ่อยเป็นเรื่องที่เราคุ้นกัน แต่ ไม่ใช่คนอายุมากทุกคนจะเข้าถึงการแพทย์ได้เท่าเทียม คนในกรุงเทพฯ อาจมีบ้านห่างจากโรงพยาบาลไม่มาก นั่งรถไม่นานก็ถึง แต่ในบางพื้นที่ แม้แต่สถานพยาบาลชั้นตติยภูมิก็ยังอยู่ห่างหลายสิบหรือร้อยกิโลเมตร การเพิ่มการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม จึงเป็นอีกข้อที่ต้องให้ความสำคัญ

ความเหลื่อมล้ำ จึงเป็นปัญหาอีกอย่างที่ปรากฏในดัชนีทุกด้าน และจะเป็นปัญหาในการพัฒนา หากงบประมาณพัฒนาเมืองไม่ถูกกระจายอย่างเป็นธรรม และละเอียดละออในความเป็นอยู่ของคนไทย

ผู้ออกนโยบายต้องใส่ใจ 

อาจารย์นิรมลกล่าวถึงความสำคัญในการมีดัชนี และการรวบรวมข้อมูลความพร้อมว่า ดีต่อการจัดสรรงบประมาณ เมื่อรู้ความหนาแน่นของประชากรสูงวัย รู้ว่าพื้นที่นั้นมีหรือขาดโครงสร้างพื้นฐานใด จะทำให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการ “เกาถูกที่คัน” และจะลดความเหลื่อมล้ำได้

เมื่อรู้ว่าดัชนี หรือข้อที่เราต้องใส่ใจในการสร้างเมืองรองรับสังคมผู้สูงอายุคืออะไร และรู้ว่าแต่ละพื้นที่ขาดอะไรบ้าง ก็จะนำมาสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย UddC ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ข้อคือ


ด้านกายภาพเมือง

  1. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ทุกคนเข้าถึงได้
  2. ผักดันนโยบาย “สูงวัยในถิ่นเดิม”
  3. จัดงบประมณปรับสภาพแวดล้อม
  4. ควรบังคับใช้มาตรฐานอารยสถาปัตย์
  5. ให้เทศบาลและอบต.ขับเคลื่อย


ด้านเศรษฐกิจสังคม

  1. ออกนโยบายบนความเสมอภาคมากกว่าสงเคราะห์
  2. สนับสนุนนโยบายย้ายถิ่นเพื่อทดแทนประชากร
  3. ทำให้ตลาดแรงงานยืดหยุ่น รับข้อจำกัดผู้สูงวัย
  4. พัฒนาระบบเศรษฐกิจสีเงิน
  5. สร้างโอกาสและทักษะเรียนรู้ตลอดชีวิต
  6. ให้มีระบบ ‘ธนาคารเวลา“ พึ่งพากันในชุมชน


ด้านสุขภาพ

  1. ออกแบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและเท่าเทียม
  2. ให้สถานบริการดูแลผู้สูงวัยเป็น “สวัสดิการขั้นพื้นฐาน”

ในการเปลี่ยนแปลงเมืองพื่อรองรับสังคมสูงวัยนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คมกริช ธนะเพทย์ อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปว่า 

  • ต้องเปลี่ยนวิธีการวางผังเมือง จากข้อกำหนดการใช้ที่ดินและความหนาแน่น มาออกแบบผังเมืองตาม Urban form ที่เน้นการเข้าถึงของผู้ใช้งาน 
  • เพิ่มความสามารถให้ผู้สูงอายุเข้าสู่ชุมชนได้ ไม่อยู่แค่ที่บ้าน มี active space ในเมือง
  • ลงทุนกับโคงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการจัดการเดินทางขนส่ง
  • การบูรณาการร่วมกัน ตั้งแต่ระดับครอบครัวถึงรัฐบาลกลาง

และเพื่อให้นโยบายสามารถเกิดขึ้นได้จริง และอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ออกนโยบายจะต้องเห็นความสำคัญของการมีเมืองที่ส่งเสริมสุขภาพภาพคน และเห็นความสำคัญของความเป็นอยู่ด้วย ไม่เพียงประโยน์ต่อเศษฐกิจและธุรกิจ

“เมื่อความสำคัญสูงสุดคือเรื่องเศรษฐกิจและธุรกิจมากกว่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ การทำให้ผู้มีอำนาจและผู้ที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันทำก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย” อาจารย์สมศักดิ์กล่าว

ผลการศึกษาทั้งหมดนี้ สะท้อนสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน และเครื่องกำหนดอนาคตสังคม เศรษฐกิจ สภาพความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งประเทศ คงไม่ดีแน่หากเราไม่เริ่มปรับเปลี่ยน รองรับกับโครงสร้างประชากรสูงวัยนี้ คิดภาพตามเมืองทั่วไทยที่มีแต่คนสูงวัยที่สุขภาพไม่ดีเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เราจะไปต่อกันแบบนี้จริงหรือ? 


แชร์
ป่วยง่ายเพราะเมือง? เมืองแบบไหนอยู่แล้ว สุขภาพดี รับสังคมสูงวัย