
ปี 2569 ถูกมองว่าเป็น “ปีชี้ชะตา” ของภาคธุรกิจไทยอย่างแท้จริง ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้านที่ซ้อนทับกันทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายกีดกันทางการค้า ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ตั้งแต่กำลังซื้อครัวเรือนที่เปราะบาง ความไม่แน่นอนทางการเมือง ไปจนถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทั้งจากผู้เล่นในประเทศและต่างชาติ ภูมิทัศน์ธุรกิจในปีข้างหน้าจึงไม่ใช่เพียงการ “ชะลอตัวตามวัฏจักร” แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านสู่สมรภูมิใหม่ที่กติกาเดิมอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป ธุรกิจจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญคำถามสำคัญว่า จะสามารถประคองตัวให้อยู่รอดได้หรือไม่ ในขณะที่บางรายอาจถูกเร่งให้หลุดออกจากห่วงโซ่เศรษฐกิจเร็วกว่าที่คาด
อย่างไรก็ดี ภายใต้แรงกดดันเหล่านี้ ยังมีโอกาสสำหรับธุรกิจที่อ่านเกมขาด ปรับตัวได้เร็ว และกล้าปรับกลยุทธ์เชิงโครงสร้าง บทวิเคราะห์นี้ศูนยวิจัย SCB EIC พาผู้อ่านเปิดภาพ “5 แรงประเด็นหลัก” ที่จะกำหนดทิศทางภาคธุรกิจไทยในปี 2569 และระยะกลาง ตั้งแต่การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก กำลังซื้อในประเทศ นโยบายภาครัฐ การแข่งขันที่ทวีความดุเดือด ไปจนถึงเมกะเทรนด์ด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืน เพื่อชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจประเภทใดมีความเสี่ยงจะ “ร่วง” ลงในสมรภูมิใหม่นี้ และรูปแบบธุรกิจแบบใดที่จะมีโอกาส “รอดและโต” ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มผันผวนและชะลอตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาสสำหรับธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การสร้างความยืดหยุ่นและการวางกลยุทธ์เชิงรุกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจไม่เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่ยังสามารถ “เติบโต” ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในบทวิเคราะห์นี้ SCB EIC จะเจาะลึก 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองและคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของภาคธุรกิจในปี 2569และระยะกลาง (2570-2572) พร้อมทั้งเสนอกลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการ โดย 5 ประเด็นสำคัญประกอบด้วย
ไทยในฐานะประเทศเศรษฐกิจแบบเปิด (Open economy) และมีคู่ค้าอันดับต้น ๆ อย่างสหรัฐฯ และจีน ย่อมหลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจได้ยาก โครงสร้างเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนโดยภาคธุรกิจกว่า 3.3 ล้านแห่งทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคการค้า
ภาคบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี กลไกหลักที่เชื่อมโยงไทยเข้ากับเศรษฐกิจโลกและมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรายได้ให้ประเทศ คือ ภาคการผลิตและการส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งสร้างมูลค่าเศรษฐกิจรวมกว่า 2.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 60% ของ GDP ในช่วงปี 2562-2567
อนึ่ง ความผันผวนของกระแสการค้าโลก ที่เกิดจากนโยบายการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกโดยตรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบทางอ้อมและมีแนวโน้มลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ผ่านกลไกทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ ระดับความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจแต่ละประเภทเผชิญจะแตกต่างกันไปตามสัดส่วนการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
อุตสาหกรรมหลักในกลุ่มนี้ เช่น ถุงมือยาง, อาหารทะเลแปรรูป, สิ่งทอ, เครื่องนุ่งห่ม, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่มีคู่ค้าหลักคือตลาดสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าที่จะทำให้ต้นทุนการค้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน การชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาดสหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อการส่งออก นอกจากนี้ ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น นิคมอุตสาหกรรม, การขนส่งทางอากาศ และโรงแรม ยังมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอการลงทุนหรือแผนการเดินทาง ส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจในห่วงโซ่เศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน
ธุรกิจในกลุ่มนี้มีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจาก ความไม่แน่นอนของทิศทางการค้าโลก ทั้งนี้อุตสาหกรรมที่ควรจับตาเป็นพิเศษ ได้แก่ 1) ผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วน ยานยนต์ ซึ่งเผชิญการขึ้นภาษีนำเข้าแบบเฉพาะเจาะจงของสหรัฐฯ สูงถึง 25% ขณะเดียวกัน ก็ต้องแข่งขันกับเม็กซิโก ซึ่งเป็นสมาชิก USMCA และยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยถูกท้าทายมากขึ้น และ 2) ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์, มอเตอร์ไฟฟ้า และหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ทำให้มีแนวโน้มเผชิญผลกระทบที่รุนแรงกว่าอุตสาหกรรมอื่นจากมาตรการภาษีนำเข้าที่เข้มงวดขึ้น
แม้ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของการค้าโลกไม่มากนัก แต่ผลกระทบทางอ้อมที่ส่งผ่านระบบเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยช่องทางสำคัญของการส่งผ่านผลกระทบ ได้แก่
1) ห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจที่ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้แก่ผู้ส่งออก เช่น เหล็ก, วัสดุก่อสร้าง, พลาสติก และบรรจุภัณฑ์ อาจเผชิญคำสั่งซื้อที่ลดลง
2) การจ้างงานในภาคส่งออก โดยเมื่อการผลิตเพื่อการส่งออกชะลอตัว ผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องลดการจ้างงานหรือปรับลดชั่วโมงทำงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น อาหารแปรรูป, เสื้อผ้า, เฟอร์นิเจอร์ และภาคท่องเที่ยว
การลดลงของรายได้แรงงานในกลุ่มนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ดังนั้น ผลที่ตามมาคือแรงกระเพื่อมสู่ภาคการค้า ภาคบริการ และภาคการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ในวงกว้าง และบั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศในระยะต่อไป
เมื่อแต่ละประเภทธุรกิจเผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อมในรูปแบบที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญที่ภาคธุรกิจไทยต้องตระหนักคือ ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงจากทั้งความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และทิศทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมบางกลุ่มอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้แก่ประเทศคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านต้นทุน ขณะที่บางอุตสาหกรรม แม้ยังไม่เผชิญผลกระทบโดยตรง แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจากความผันผวนของตลาดโลกจะทวีความรุนแรงและยืดเยื้อในระยะยาว
ดังนั้น แม้ไทยจะมีจุดแข็งด้านโครงสร้างการผลิตและความเชี่ยวชาญในหลายอุตสาหกรรม หากไม่สามารถเร่งยกระดับมาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือขยายฐานตลาดใหม่ ก็มีความเสี่ยงที่ความได้เปรียบทางการแข่งขันจะถูกบั่นทอน และอาจถูกแทนที่โดยผู้ผลิตจากประเทศเกิดใหม่ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในอนาคต
ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศส่งผลให้กระแสการลงทุนทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับความเสี่ยง ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ ยังมีแนวโน้มเข้ามาเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยด้วยเช่นกัน โดยไทยอาจได้รับโอกาสจากการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและเข้มข้นยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติที่หันมาจับตลาดอาเซียนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ในทางกลับกัน ไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการปรับแผนชะลอการลงทุนออกไปของนักลงทุนบางส่วนจากความวิตกต่อการขยายวงของการกีดกันทางการค้าในหลายประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ในภาพรวมยังเห็นสัญญาณบวกของนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องสะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ที่ยังเติบโตมาอยู่ที่ 1.37 ล้านล้านบาท หรือราว 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งการขอรับการส่งเสริมลงทุนส่วนใหญ่กระจุกตัวที่อุตสาหกรรมดิจิทัล, ตามด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สาธารณูปโภค, เครื่องจักรและยานยนต์ และโลหะและวัสดุ
การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติส่งผลต่อธุรกิจในไทยทั้งในเชิงบวกและความเสี่ยง โดยกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสได้รับอานิสงส์อย่างเด่นชัด ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจากความต้องการใช้พื้นที่ในการก่อตั้งโรงงานที่เพิ่มขึ้น, กลุ่มผู้ผลิตที่สามารถเชื่อมต่อกับ Supply chain ของอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุน เช่น การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนอย่างเช่นธุรกิจโทรคมนาคม และการผลิตพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ดี การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติอาจสร้างแรงกดดันให้กับธุรกิจบางกลุ่มที่ยังปรับตัวไม่ทันโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาให้สอดรับกับอุตสาหกรรมขั้นสูงที่จะเข้ามามากขึ้น
ภาคครัวเรือนมีความเปราะบางจากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้า และหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 กดดันการฟื้นตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคยังต้องพึ่งพาการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2568 สัดส่วนเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 86.8% แม้มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 แต่สาเหตุหลักเป็นผลมาจากยอดคงค้างเงินให้กู้ยืมที่ขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ จากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังเติบโตในอัตราต่ำ สะท้อนความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า
นอกจากนี้ สัดส่วน NPL สินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่ปรับเพิ่มขึ้นและยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย รถยนต์ และบัตรเครดิต เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ยังมีแนวโน้มคงอยู่ต่อเนื่องในปี 2569 ส่งผลกระทบต่อการบริโภคครัวเรือน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนให้เกิดกำลังซื้อในธุรกิจต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะการซื้อที่อยู่อาศัย และสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ที่ยังต้องพึ่งพาการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในปี 2569 รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะข้างหน้ายังเผชิญความท้าทายสูง
อย่างไรก็ดี ธุรกิจในกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความจำเป็นยังเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ สะท้อนจากการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลรายได้ธุรกิจล่าสุดในปี 2567 สะท้อนการฟื้นตัวจากช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่แตกต่างกันของแต่ละอุตสาหกรรม โดยพบว่า อุตสาหกรรมที่รายได้ธุรกิจในปี 2567 ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์และชิ้นส่วน ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าและบริการที่มีความจำเป็น ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ได้แก่ ค้าส่งค้าปลีก, ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม, บริการอาหารและเครื่องดื่ม และคมนาคมขนส่ง โดยการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจส่วนใหญ่ยังนำโดยกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายภาครัฐกระทบธุรกิจกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ/งบลงทุนภาครัฐ หลังจากการประกาศยุบสภาในเดือน ธ.ค. 2568 ส่งผลให้ในปี 2569 ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2570 ซึ่งหากมีความล่าช้าไม่มากนัก ก็จะบรรเทาความเสี่ยงของปัญหาการหยุดชะงักหรือความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณลงได้บางส่วน
อย่างไรก็ดี หากมีความล่าช้าออกไปมาก คาดว่าจะกระทบเม็ดเงินที่จะกระจายสู่ภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2569 ซึ่งเริ่มปีงบประมาณใหม่เป็นต้นไป และจะกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ/งบลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างโครงการภาครัฐ
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังส่งผลกระทบให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจลดลง ทั้งบริษัทไทย และบริษัทต่างชาติ และอาจชะลอแผนการลงทุนในอนาคตตามมาอีกด้วย ทั้งนี้ยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่จะส่งผลต่อความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย หรือมาตรการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการแล้ว รวมถึงอาจมีการดำเนินนโยบาย หรือมาตรการใหม่ ๆ ออกมาจากรัฐบาลใหม่เพิ่มเติมในปี 2569 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
สำหรับในระยะข้างหน้า ที่มีการประเมินหนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% หากไม่มีทบทวนแผนการคลังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อต่ำลง จะเป็นข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการคลัง ส่งผลต่องบกระตุ้นเศรษฐกิจและการอุดหนุนในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพิงการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างโครงการภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดว่าน่าจะต้องเร่งดำเนินการออกมาภายหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยในปี 2568ได้มีการดำเนินมาตรการ“โครงการคนละครึ่งพลัส” ในช่วงปลายปี 2568 (พ.ย.–ธ.ค.) วงเงินสูงสุด 44,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนที่ลงทะเบียน 20 ล้านสิทธิ โดยรัฐบาลจะช่วยจ่าย 50% ประชาชนจ่าย 50% โดยจำกัดวงเงินตามสิทธิที่ไม่เกิน 200 บาท/วัน (กลุ่มผู้ยื่นภาษีได้วงเงินรวม 2,400 บาท และประชาชนทั่วไปได้ 2,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ)
ทั้งนี้มาตรการ “Co-payment ดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่ออัดฉีดกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศและกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนในช่วงปลายปี โดยมุ่งช่วยเหลือธุรกิจรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และนิติบุคคลขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหากในปี 2569รัฐบาลชุดใหม่มีการออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในระยะสั้นได้อย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคและการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้
แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอน แต่คาดว่านโยบายของรัฐบาลชุดใหม่น่าจะยังเน้นให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาว ซึ่งจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสนับสนุนอุตสาหกรรมที่จะก้าวขึ้นมาเป็น New engine of growth ของไทยในอนาคต ที่สำคัญได้แก่ ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI (2566-2570) เพื่อพัฒนาการเกษตรกรรมสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต เช่น กลุ่ม Novel foods และโปรตีนทางเลือกใหม่ ๆ และอาหารที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล (Personalization) มากขึ้น
อีกหนึ่งโครงการคือ การพัฒนาเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food innopolis ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) เพื่อส่งเสริมให้เกิด Hub ในการพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ มหาวิทยาลัย และนักลงทุน ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ รวมทั้งกลุ่ม Startups ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อขยับจากการเติบโตเชิง “ปริมาณ” เป็น “มูลค่า” ลดความผันผวนด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity goods) ในตลาดโลก และสร้าง S-curve ใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารไทย อีกทั้ง ยังช่วยเพิ่มแต้มต่อการแข่งขันของผู้เล่นไทยในเวทีการค้าโลก
นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy) และ Soft power ของภาครัฐยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งเสริมผู้ประกอบการและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากสู่ความเป็นเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการและผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในกลุ่มดิจิทัลคอนเทนต์, ศิลปะ, การออกแบบ, เสื้อผ้าและแฟชั่น, เกมและ E-sport, ท่องเที่ยว และอาหาร เพื่อพัฒนาขึ้นมาเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่แข่งขันด้านต้นทุนเป็นหลัก รวมทั้งยังสนับสนุนให้เกิด Inclusive growth และเกิดการกระจายรายได้ในระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้นอีกด้วย
แม้ภาพรวมการแข่งขันภายในประเทศของภาคธุรกิจจะรุนแรงมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายธุรกิจยังคงมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง และมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า SMEs ทั้งขนาดฐานลูกค้าที่กว้าง สามารถกระจายการขายสินค้าและบริการไปสู่ลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม โครงสร้างต้นทุนที่ต่ำจากการผลิตหรือการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด เงินลงทุนสูง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในต้นทุนต่ำกว่า SMEs มีพันธมิตรที่หลากหลาย รวมถึงยังมีความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตหรือการดำเนินงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า SMEs หลายด้าน โดยในระยะที่ผ่านมา SMEs มีส่วนแบ่งรายได้ที่ลดลงในหลายธุรกิจ ได้แก่ โรงแรมและที่พัก, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, คมนาคมขนส่ง, อสังหาริมทรัพย์, ค้าส่งค้าปลีก, ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม, อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์และชิ้นส่วน
หลายอุตสาหกรรมเผชิญสถานการณ์ที่ผู้เล่นต่างชาติเข้ามาแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่สินค้านำเข้าจากจีนทะลักเข้ามาแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น เหล็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยโดยรวมให้อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องและคาดว่าผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจซ้ำเติมให้ภาคการผลิตของไทยฟื้นตัวได้ช้าลง ขณะที่ในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ก็เผชิญการแข่งขันจากผู้เล่นต่างชาติที่เข้ามาขยายตลาดมากขึ้นเช่นเดียวกัน อาทิ ธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนธุรกิจบริการประเภทต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร ไปจนถึงธุรกิจบริการสมัยใหม่อย่าง Data center ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่ไทยสูงสุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดโลก ซึ่งมีผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งจากภายในภูมิภาคและจากภูมิภาคอื่นเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในหลากหลายสินค้าและบริการ ส่งผลให้เกิดการแข่งขันทั้งในด้านราคา, คุณภาพ ตลอดจนการสร้างแบรนด์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น ซึ่งหากภาคธุรกิจไทยไม่เร่งยกระดับสินค้าและบริการ ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันตลาดโลก หรือถูกเบียดออกจากห่วงโซ่มูลค่าโลกในที่สุด ตัวอย่างเช่น ธุรกิจในภาคการผลิต อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า, หม้อแปลงไฟฟ้า, สวิตช์และแผงควบคุม, เฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ไทยมีความสามารถในการผลิตและส่งออกที่ด้อยกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะเม็กซิโก ที่อาจเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ไปได้ เพราะข้อได้เปรียบจากการยกเว้นภาษีนำเข้า
สำหรับธุรกิจในภาคบริการ ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวไทยก็กำลังเผชิญกับ Tourism war ในเอเชียที่เข้มข้นเมื่อหลายประเทศเร่งออกมาตรการเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นวีซ่า การทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ไปจนถึงการจัดแคมเพนส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เลือกเดินทางไปยังประเทศของตนมากขึ้น ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นในการรักษาความสามารถการแข่งขันในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
อีกทั้ง แนวโน้มความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้าในปี 2569 ส่งผลให้การแข่งขันของภาคธุรกิจเพื่อแย่งชิงกำลังซื้อที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นไปอย่างรุนแรงขึ้น และอาจนำมาสู่สถานการณ์การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ที่อาจกระทบต่ออัตรากำไร แม้ผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า SMEs หลายด้าน แต่ในระยะ 1-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นการปรับตัวลดลงของอัตรากำไรของผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น รับเหมาก่อสร้าง, ค้าส่งค้าปลีก, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, อิเล็กทรอนิกส์, คมนาคมขนส่ง, ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม และอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้สถานการณ์การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นอาจนำมาสู่ผลกระทบด้านอัตรากำไร และสภาพคล่องทั้งของผู้ประกอบการรายใหญ่ และ SMEs มากขึ้น ที่อาจนำมาสู่อัตรากำไรที่ต่ำลงของผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมถึงการปิดกิจการของ SMEs เพิ่มขึ้นตามมาในปี 2569 รวมถึงยังมีหลายปัจจัยที่จะเข้ามาเป็นความท้าทายในการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปี 2569 ที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังผู้ประกอบการรายใหญ่ และ SMEs ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานการส่งออก รวมถึงบางอุตสาหกรรมยังต้องพึ่งพากำลังซื้อต่างชาติที่จะผันผวนไปตามเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน ตลอดจนการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ทำให้รูปแบบการขายสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงไป สร้างแรงกดดันให้กับโมเดลธุรกิจแบบเดิม จึงยังเป็นความท้าทายภาคธุรกิจ ในการปรับกลยุทธ์รับมือเพื่อประคับประคองการดำเนินธุรกิจต่อไปในปี 2569
ไทยมีศักยภาพในการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการผลิตสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นธุรกิจพื้นฐานที่ไทยมีจุดแข็งและความได้เปรียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ไม่ยาก ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจ คือโครงการ “Thai food-Mission to space” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์ว่าไก่ไทยสามารถผลิตได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space food safety standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เข้มงวดที่สุดในโลกตามเกณฑ์ของ NASA ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวไม่เพียงจะยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหารของไทย แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจอวกาศ (Space economy) สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั่วโลกในเรื่องมาตรฐานอาหารไทย ซึ่งเปรียบเสมือนใบเบิกทางสำหรับสินค้าอาหารอื่น ๆ ในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรทำให้เกิดโอกาสสำหรับโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging society) นำไปสู่โอกาสการเติบโตของธุรกิจบริการด้านสุขภาพ เช่น คลินิกเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุ และศูนย์ฟื้นฟู/กายภาพบำบัด เป็นต้น โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior living) หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เช่น Reverse mortgage และบริการวางแผนทางการเงินระยะยาว (Wealth/Retirement planning) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสอีกหลากหลายด้านสำหรับธุรกิจที่สามารถปรับตัวเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมและเทรนด์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z หรือ Gen Alpha ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความยั่งยืนและการดูแลสุขภาพมากขึ้น และนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช, แพลตฟอร์มในการจัดการกับอาหารส่วนเกิน (แอปพลิเคชันขายอาหารใกล้หมดอายุในราคาถูก หรือแพลตฟอร์มบริจาคอาหารส่วนเกินไปให้ยังมูลนิธิต่าง ๆ หรือชุมชน) รวมไปถึงธุรกิจบริการที่สนับสนุนไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ เช่น ธุรกิจประกันสุขภาพ/ประกันรายได้ สำหรับคนทำงานที่ประกอบอาชีพอิสระ และ Co-working space เป็นต้น
เทคโนโลยีได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมภาคธุรกิจไทยในปัจจุบัน ทั้งสร้างโอกาสใหม่และเพิ่มแรงกดดัน โดยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริการดิจิทัลแบบ Subscription หรือ AI solutions ในทางกลับกัน เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นก็ยังสร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการในโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อความคาดหวังและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป แต่การนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจนั้นจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งด้านอุปกรณ์, บุคลากร และการพัฒนาระบบ ทำให้ธุรกิจที่ยังไม่มีความพร้อมด้านเงินทุนและทักษะต้องเผชิญกับความท้าทายในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจให้เท่าทันผู้เล่นรายอื่นในตลาด
การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนโดยได้มีการปรับเป้าหมาย Net zero ของไทยให้เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2608 เป็น 2593 จะทำให้มีทั้งกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้นและกลุ่มที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากในประเทศที่เพิ่มขึ้น การที่รัฐบาลไทยได้ปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ให้เร็วขึ้นจะทำให้อุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มเติบโต จากความต้องการใช้สินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงจะเผชิญแรงกดดันจากในประเทศเพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ภาคธุรกิจไทยก็ต้องเผชิญแรงกดดันจากคู่ค้าในตลาดโลกที่ตั้งเป้าบรรลุ Net zero เร็วกว่าไทย 15 ปีอยู่แล้ว ซึ่งการขยับเป้า Net zero เร็วขึ้นมาเป็นปี 2593 ของรัฐบาล จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันจากในประเทศผ่านมาตรการใหม่ ๆ ที่จะทยอยออกมา เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน และการบังคับใช้ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเร่งให้อุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น น้ำมันและก๊าซ, โรงไฟฟ้าฟอสซิล, เหล็ก, ซีเมนต์, เคมีภัณฑ์ และรถยนต์น้ำมัน ต้องปรับตัวให้ทันภายในระยะเวลาเร็วขึ้น 15 ปี หากต้องการเติบโตต่อในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น (Climate mitigation) แต่ภาคธุรกิจยังมีแรงกดดันในการต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย (Climate adaptation) ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อม ก็มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงกว่าธุรกิจที่ปรับตัวได้หรือมีความพร้อมมากกว่า
นอกจากนี้ ธุรกิจที่ปรับตัวได้ช้า หรือเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่ไม่มีศักยภาพหรือไม่มีความพร้อมในการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปก็มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความต้องการที่หดตัว หรืออาจถูกตัดออกจากห่วงโซ่การผลิตโลกใหม่ได้ ส่งผลกระทบต่อโอกาสการอยู่รอดในอนาคต อาทิ
เหล่านี้คือตัวอย่างของธุรกิจที่กำลังสูญเสียศักยภาพการแข่งขันและกำลังจะกลายเป็น Sunset segment ซึ่งหากไม่เร่งปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ แนวโน้มของรายได้และมาร์จินก็จะมีโอกาสลดลงเรื่อย ๆ จากโครงสร้างตลาดที่กำลังหดตัว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงที่จะทยอยล้มหายตายจากไปจากโลกธุรกิจในอนาคต อย่างช้า ๆ แต่ท่ามกลางหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงรุมเร้า ยังคงมีบางกลุ่มย่อย (Subsegment) ที่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับ Mega trend ยุคใหม่และช่วยให้สามารถคว้าโอกาสเติบโตต่อได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว