คน “เจนซี” หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี 1996-2012 ในเนปาล โค่นล้มรัฐบาลตนได้ภายใน 48 ชั่วโมง กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความตกใจให้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะด้วยเวลาที่รวดเร็ว ความเสียหายที่เกิดขึ้น และแนวทางใหม่ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง อย่างการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีชั่วคราวผ่าน “ดิสคอร์ด” แอปพลิเคชันสื่อสารที่บรรดานักเล่นเกมมักใช้กัน
สำนักข่าว BBC สัมภาษณ์หนึ่งในผู้จัดการการประท้วงเจนซี ตานูจา ปันเด เกี่ยวกับการประท้วงครั้งนี้ “เราภูมิใจมาก แต่ยังมีภาระบาดแผลที่ผสมกันอยู่ ระหว่างความเสียดายและความโกรธ”
การประท้วงเมื่อสัปดาห์ก่อนมีผู้เสียชีวิตรวม 72 คน ทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในเนปาลในรอบหลายศตวรรษ อาคารรัฐบาล ที่พักอาศัยของนักการเมือง และโรงแรมหรูอย่าง โรงแรมฮิลตันที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2024 ถูกทำลายเสียหายหนัก และภรรยาของอดีตนายกรัฐมนตรียังถูกไฟครอกสาหัสขณะที่บ้านถูกเผาอีกด้วย
อาชีช พราดาน ที่ปรึกษาอาวุโสแห่ง International Crisis Group แต่ความเสียหายต่อการให้บริการของภาครัฐ กล่าวถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น เขากล่าวว่าการประท้วงรุนแรงเป็นผลของ “การปฏิเสธชนชั้นการเมืองของเนปาลอย่างเบ็ดเสร็จ จากการบริการประเทศที่ย่ำแย่ และการผลาญทรัพยากรประเทศ”
เขายังกล่าวอีกว่า ความเสียหายจากการประท้วงครั้งนี้เทียบได้กับเหตุแผ่นดินไหวปี 2015 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 9,000 คน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานยอดความเสียหายอย่างเป็นทางการ เนื่องจากสำนักงานรัฐบาลทั่วประเทศกว่า 300 แห่งถูกทำลายเสียหาย แต่ความเสียหายทางการเงินคาดว่าอาจสูงถึง 3 ล้านล้านรูปีเนปาล หรือประมาณ 666,540 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของจีดีพีเนปาล
สองวันก่อนเกิดการเดินขบวนประท้วงในวันที่ 8 กันยายน ปันเด นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมวัย 24 ปี อัพโหลดวิดีโอตัวหนึ่ง เผยแพร่ภาพเขตเหมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา โดยเธอระบุว่า ทรัพยากรธรรมชาติของเนปาลควรจะเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของบริษัทเอกชนที่มีนักการเมืองเป็นเจ้าของ หลังจากนั้นเธอเรียกร้องให้มีการเดินขบวนต่อต้านคอร์รัปชันและการใช้ความมั่งคั่งของประเทศในทางที่ผิด
แต่การเคลื่อนไหวของเยาวชนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของเอเชีย มักไม่มีแกนนำแน่ชัด การประท้วงของกลุ่มเจนซีเนปาลก็เช่นกัน แต่หลาย ๆ คนก็มองเหมือนปันเด พวกเขาจึงตัดสินใจออกมาประท้วง หลังจากที่รัฐบาลสั่งแบนแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดีย
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ความไม่พอใจได้ปะทุขึ้นต่อกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “เด็กเส้น” หรือบุตรหลานของนักการเมืองผู้ทรงอำนาจจากทุกพรรค ที่ถูกกล่าวหาว่า อวดความมั่งคั่งโดยไม่มีที่มาชัดเจนผ่านโซเชียลมีเดีย
ภาพถ่ายที่ถูกแชร์อย่างกว้างขวางแสดงให้เห็น เซากัต ธาปา บุตรชายของรัฐมนตรีระดับมณฑล ยืนอยู่ข้างต้นคริสต์มาสที่ทำจากกล่องแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Gucci และ Cartier เขาออกมาชี้แจงว่า ภาพดังกล่าวเป็น “การตีความที่ไม่เป็นธรรม” พร้อมยืนยันว่าบิดาของเขา “ได้นำรายได้ทุกบาทจากการทำงานรับใช้สาธารณะกลับคืนสู่ชุมชน”
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกในสังคมยังคงสะท้อนชัดเจน ปันเด ซึ่งติดตามคอนเทนต์ “เด็กเส้น” เกือบทั้งหมด กล่าวว่า วิดีโอหนึ่งที่เปรียบเทียบชีวิตหรูหราของครอบครัวนักการเมืองกับหนุ่มสาวชาวเนปาลธรรมดาที่ต้องไปทำงานในตะวันออกกลางเพื่อเลี้ยงชีพ สร้างความสะเทือนใจอย่างยิ่ง
“มันเจ็บปวดที่ต้องเห็น โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าหนุ่มสาวที่มีการศึกษาจำนวนมากยังคงถูกบีบให้เดินทางออกนอกประเทศ เพราะค่าแรงในบ้านเกิดต่ำเกินกว่าจะใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีได้” เธอกล่าว
เนปาลถือเป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่ โดยกลายมาเป็นสาธารณรัฐเมื่อปี 2008 นี่เอง หลังจากก่อนหน้านั้น มีสงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนาน และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 17,000 คน
แต่การให้คำมั่นว่าจะสร้างประเทศที่มีสเถียรภาพและความมั่งคั่งนั้นยังคงไม่ประสบความสำเร็จ
17 ปีที่ผ่านมา เนปาลมีรัฐบาลไปแล้ว 14 ชุด และยังไม่มีผู้นำคนใดเลยที่อยู่ในตำแหน่งครบวาระ 5 ปี ดังนั้นการเมืองของประเทศนี้จึงคล้ายเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของเนปาล ยังคงอยู่ต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน หรือประมาณ 47,676 กลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียใต้ รองจากอัฟกานิสถาน
รายงานคาดการณ์ว่า มีประชาชนราว 14 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไปทำงานใสต่างประเทศ และ 1 ใน 3 ของครัวเรือนทั้งประเทศอยู่ได้ด้วยการรับเงินโอนจากต่างประเทศ