แม้ว่าการประท้วงอันเดือดดาลและยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วของชาวเนปาลซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นคน Gen Z เกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่พอใจที่รัฐบาลสั่งห้ามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้บริการในเนปาล โดยมีเจตนาปิดกั้นช่องทางการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
แต่เหตุผลนี้ก็เป็นเพียงฟางเส้นสุดท้ายเท่านั้น เพราะก่อนจะมีเรื่องนี้ ชาวเนปาลสะสมความไม่พอใจในการบริหารประเทศของรัฐบาลมานาน โดยมีรากมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่สะสมมาหลายปี บวกกับความเหลื่อมล้ำในสังคม และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของบุคลากรภาครัฐทุกระดับ เป็นปัจจัยสามประสานที่รอวันปะทุมานาน
SPOTLIGHT ชวนโฟกัสเข้าไปดูที่ด้านเศรษฐกิจของเนปาลว่าเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร-หนักแค่ไหน ทำไมเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การประท้วงรัฐบาลอย่างเดือดดาลอย่างที่เห็น
เนปาล เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ภูมิประเทศเป็นเทือกเขา มีประชากรประมาณ 30 ล้านคน ในทางเศรษฐกิจ เนปาลเป็นประเทศรายได้ต่ำ เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย ครึ่งหนึ่งของงบประมาณในการพัฒนาประเทศมาจากเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเนปาลอยู่ที่ประมาณ 42,910 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2024 รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากร (GDP per Capita) อยู่ในระดับต่ำ ที่ประมาณ 1,447.3 ดอลลาร์สหรัฐ อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในปี 2024 อยู่ที่ 42.6% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 4.9%
เศรษฐกิจเนปาลพึ่งพาภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และการส่งเงินกลับของแรงงานที่ไปทำงานในต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีข้อมูลในแต่ละภาคส่วน ดังนี้
ภาคบริการ: มีสัดส่วนใน GDP มากที่สุด ประมาณ 51.5% โดยมีภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากเนปาลมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สำคัญ รวมถึงการปีนเขาในเทือกเขาหิมาลัย และสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า (ลุมพินีวัน)
ภาคการเกษตร: เป็นภาคส่วนที่มีการจ้างงานสูงที่สุด และมีสัดส่วนใน GDP ประมาณ 27% สินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด และอ้อย
การส่งเงินกลับประเทศ (remittances): เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับเนปาล โดยเงินที่ส่งกลับมาจากแรงงานชาวเนปาลที่ไปทำงานในต่างประเทศมีสัดส่วน 33% ของ GDP ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศของเนปาล
ภาคอุตสาหกรรม: มีสัดส่วนใน GDP น้อยที่สุด ประมาณ 13.5% ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น โรงงานน้ำตาล โรงงานกระดาษ โรงงานสิ่งทอ
การค้าระหว่างประเทศ: สินค้าส่งออกสำคัญของเนปาล ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม พรม เสื้อผ้าสำเร็จรูป สิ่งทอจากขนสัตว์ กระวาน เส้นใยพอลิเมอร์ สักหลาด น้ำผลไม้ เส้นใยปอกระเจาและเปลือกไม้ ชาหมัก ตลาดส่งออกที่สำคัญคือ อินเดีย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ตุรกี ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ คือ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันถั่วเหลองดิบ เหล็กและแร่เหล็ก ถ่านหิน น้ำมันดิบ ทองคำ คู่ค้าที่สำคัญคือ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา
ดูจากข้อมูลพื้นฐานข้างต้นก็พอจะเห็นปัญหาแล้ว เพราะการเป็นประเทศที่ยากจนนั้นสะท้อนว่าประชาชนในประเทศไม่น่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเท่าใดนัก
อีกทั้งการที่เนปาลพึ่งพาเงินส่งกลับจากการไปทำงานต่างประเทศ (remittances) มากถึง 1 ใน 3 ของ GDP ก็สะท้อนว่าในประเทศเนปาลไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานเพียงพอสำหรับคนวัยกำลังแรงงาน ทำให้ชาวเนปาลจำนวนมากต้องออกไปทำงานต่างประเทศ และการที่ประชากรออกไปทำงานต่างประเทศเป็นจำนวนมากนี้ก็วนลูปกลับมาส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจเนปาลให้อ่อนแอยิ่งขึ้นอีก
มีรายงานและบทวิเคราะห์ชี้ว่า การที่เนปาลมีรายได้จากการส่งเงินกลับประเทศจำนวนมากนั้น แม้จะมีข้อดีในระยะสั้น แต่ส่งผลเสียรุนแรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ดังนี้
1. ทำให้ค่าเงินของเนปาลแข็งขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกและภาคบริการลดน้อยลง การส่งออกลดลง การนำเข้าสูงขึ้น นำไปสู่การที่ภาคการผลิตซบเซา ภาคการผลิตและอุตสาหกรรมในประเทศไม่เติบโต
2. การที่คนหนุ่มสาวจำนวนมากเลือกเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ทำให้เกิดภาวะสมองไหล สูญเสียบุคลากรที่มีศักภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ และขาดแคลนแรงงานในภาคส่วนสำคัญ ทั้งภาคเกษตรกรรรมและภาคการผลิต
3. เงินโอนกลับจากต่างประเทศส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้เพื่อการบริโภค ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ได้นำไปสู่การลงทุนเพื่อการผลิต และไม่ได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งทำให้เกิดค่านิยมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างครัวเรือนที่ได้รับและไม่ได้รับเงินโอนจากต่างประเทศ
4. การพึ่งพารายได้จากต่างประเทศทำให้เศรษฐกิจเนปาลมีความเปราะบางสูง เพราะจะได้รับผลกระทบเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานโลก และเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกหรือวิกฤตในประเทศที่แรงงานเนปาลไปทำงาน
หากอยากเข้าใจว่าทำไมเนปาลจึงยากจน ธนาคารโลกเคยอธิบายไว้ในรายงาน ‘Climbing Higher: Toward a Middle-Income Nepal’ ที่เผยแพร่เมื่อปี 2017 ว่า เนปาลมีเงื่อนไขตั้งต้นที่ไม่เอื้ออำนวย จึงทำให้เส้นทางการพัฒนาของเนปาลไม่เคยง่าย
เงื่อนไขประการแรก คือ เนปาลที่ไม่มีทางออกทะเลและภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาเป็นอุปสรรคทางธรรมชาติต่อการพัฒนา ขณะที่ประวัติศาสตร์การปกครองแบบขูดรีดทำให้เนปาลมีทุนทางกายภาพและทุนมนุษย์ในระดับต่ำมาก และมีอัตราการไม่รู้หนังสือสูงถึง 90% ในปี 1951
ประการที่สอง คือ มีแนวโน้มที่จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อย ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและทำให้การพัฒนาล้มเหลว
ประการที่สาม คือ เนปาลมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบเป็นพิเศษจากอินเดียและอัตราการพัฒนาทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทั้งในด้านดีและด้านร้าย
ประการที่สี่ เนปาลอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ยาวนานจากระบอบกษัตริย์สู่ประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การประท้วงของกลุ่มชาติพันธุ์ และการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง
ธนาคารโลกบอกอีกว่า เงื่อนไขข้อจำกัดอันท้าทายเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอีกจากการเลือกนโยบายที่ไม่สนับสนุนประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ อย่างเช่น มีการเลือกนโยบายที่ส่งผลให้ภาคการเกษตรอ่อนแอลง การลงทุนภาครัฐและการสะสมทุนอยู่ในระดับต่ำ และการเติบโตของผลผลิตที่ต่ำ
ด้วยสภาพเช่นนี้เอง ชาวเนปาลจึงต้องย้ายถิ่นฐานออกไปทำงานนอกประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามกลางเมืองที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1996 และจบลงในปี 2006
ถึงแม้จะยังเป็นประเทศยากจน แต่ล่าสุดในปี 2025 นี้ ธนาคารโลกบอกว่า เนปาลลดความยากจนลงได้อย่างน่าทึ่งในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา โดยอัตราความยากจนของประชากรเนปาล (ซึ่งวัดที่การดำรงชีวิตด้วยเงินต่ำกว่า 2.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน) ลดลงจากกว่า 55% ในปี 1995 เหลือ 0.37% ในปี 2022
ปัญหาก็คือ เนปาลลดความยากจนของประชากรลงได้โดยปราศจากการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ปราศจากการลงทุน หรือการสร้างงาน แต่ลดลงได้ด้วยเงินส่งกลับจากการไปทำงานนอกประเทศ
การพึ่งพาเงินส่งกลับประเทศที่ไม่ได้ส่งผลให้เกิด ‘งานที่มีคุณภาพ’ ในประเทศนั้น ยิ่งซ้ำเติมวงจรแห่งการสูญเสียโอกาส และทำให้ชาวเนปาลจำนวนมากต้องอพยพไปทำงานนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แรงงานชาวเนปาล 82% ทำงานอยู่ในรูปแบบการจ้างงานนอกระบบ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกและระดับภูมิภาคอย่างมาก
“ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเนปาลในขณะนี้ คือ การบรรลุศักยภาพสูงสุดของประเทศด้วยการสร้างเศรษฐกิจที่สร้างการเติบโตภายในประเทศและการจ้างงานอย่างยั่งยืน” ธนาคารโลกบอก
ความเป็นประเทศยากจน และโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีปัญหาดังที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้เกิดวิกฤตการจ้างงาน เมื่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตซบเซา การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมจึงน้อย ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวไม่สามารถจ้างงานได้ตลอดทั้งปี
เมื่อไม่มีภาคส่วนไหนรองรับแรงงานได้มากพอ อัตราการว่างงานจึงสูง ณ ปี 2024 อยู่ที่ 10.7% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนหนุ่มสาวอายุน้อยที่มีข้อมูลว่าอัตราการว่างงานสูงกว่าอัตราในภาพรวม การไม่มีงานในประเทศทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากต้องออกไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่ชาวเนปาลนิยมไปทำงานได้แก่ กาตาร์ มาเลเซีย ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ขณะเดียวกัน ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบการเมืองและเศรษฐกิจของเนปาล ก็บั่นทอนความเชื่อมั่นที่มีต่อภาครัฐ และสร้างความไม่พอใจชาวเนปาลมานาน ดังนั้น หนึ่งในสองข้อเรียกร้องในการประท้วงครั้งนี้จึงเป็น “ยุติการทุจริต”
เมื่อบวกกับการเห็นลูกหลานนักการเมืองผู้มั่งมีอวดชีวิตหรูหราบนโซเชียลมีเดีย สวนทางกับสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของประชาชนทั่วไปที่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและขาดโอกาสในชีวิต ยิ่งทำให้ความไม่พอใจของชาวเนปาลรุนแรงขึ้น และนั่นเป็นที่มาที่การประท้วงครั้งนี้มีการขับเน้นคำว่า “Nepo Baby” และ “Nepo Kids” ซึ่งผู้ประท้วงวิจารณ์ว่าลูกหลานนักการเมืองเหล่านี้ใช้ชีวิตหรูหราได้ด้วยเงินของรัฐ ด้วยความมีอภิสิทธิ์ มีโอกาสเหนือกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ไปจนถึงว่าหลายคนมีส่วนพัวพันกับการทุจริต การรับสินบน
เมื่อความไม่พอใจสามเรื่องที่สะสมมานาน บวกกับการที่รัฐบาลห้ามการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย ชนวนระเบิดจึงถูกจุด
ดร.แคทรีน มาร์ช (Kathryn March) ศาสตราจารย์กิตติคุณสาขามานุษยวิทยา วิทยาลัยศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล ซึ่งเคยทำงานในเนปาลนานกว่า 50 ปี ให้ข้อมูลน่าสนใจว่า การห้ามใช้โซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่แค่ในด้านการขาดเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่สำหรับเยาวชนชาวเนปาล โซเชียลมีเดียมีความสำคัญมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ใช้โซเชียลมีเดียสำหรับการติดต่อสื่อสารส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังใช้ในการหางาน ใช้เจรจาต่อรองเรื่องระเบียบราชการทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ใช้ทำธุรกิจ ใช้แบ่งปันความรู้ และใช้ฆ่าเวลาด้วย
ดร.มาร์ชวิเคราะห์อีกว่า เรื่องงาน หรือการไม่มีงานที่มีความหมาย (meaningful job) ในประเทศเนปาล อาจเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในปัจจุบันสำหรับเยาวชนชาวเนปาล และไม่ว่าจะเป็นคนที่ไปทำงานต่างประเทศหรือว่างงานอยู่ในประเทศก็ล้วนมีโซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญในชีวิตแต่ละวัน จึงไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยที่นักการเมืองพยายามยับยั้งปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองโดยการห้ามใช้โซเชียลมีเดีย จนนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่นี้
อ้างอิง: กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, Word Bank [1], World Bank [2], World Bank [3], Trading Economics, Research Gates, Times of India, BBC, Cornell