สื่อของรัฐบาลจีนรายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า กู้ภัยได้พานักปีนเขากว่า 350 คน ลงมาอย่างปลอดภัยแล้ว หลังติดอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดจากพายุหิมะบนยอดเขาเอเวอเรสต์ฝั่งทิเบต
รายงานระบุว่า มีนักปีนเขากว่า 500 คนที่ติดค้างอยู่กลางเขาท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายจัด ทั้งพายุหิมะและฝนตกหนัก ขณะที่พวกเขาอยู่ในเขต Tingri ของทิเบต แต่นักปีนเขา 350 คนได้รับการช่วยเหลือลงมายังเมืองชวีตัง ซึ่งตั้งอยู่ในภูเขา แต่ไม่ได้รายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายไหนที่เข้าไปช่วยเหลือบ้าง
อย่างไรก็ตาม ยังเหลือนักปีนเขาอีก 200 คนที่ยังคงติดค้างอยู่ในสภาพอากาศที่เลวร้าย
นับตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 ตุลาคม) และต่อเนื่องตลอดวันเสาร์เกิดเหตุหิมะตกหนักในพื้นที่หุบเขาที่ระดับความสูงเฉลี่ยกว่า 4,200 เมตร ส่งผลให้ทางการต้องระงับการจำหน่ายบัตรและปิดการเข้าชมพื้นที่ท่องเที่ยวเอเวอเรสต์ทั้งหมดตั้งแต่คืนวันเสาร์
เฉิน เก๋อซวง หนึ่งในคณะนักเดินป่าจำนวน 18 คนที่ได้รับการช่วยเหลือเดินทางถึงเมืองชวีตังแล้วเปิดเผยว่า “บนภูเขามันทั้งเปียกและหนาวจัด เสี่ยงต่อภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำมาก ปีนี้สภาพอากาศไม่ปกติ มัคคุเทศก์บอกว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ในเดือนตุลาคม และทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน”
ส่วนสถานการณ์บนเอเวอเรสต์ในฝั่งเนปาล ชุมชนเชอร์ปา หรือไกด์ท้องถิ่นกำลังปรับตัวกับสภาพอากาศที่คาดเดายากขึ้น อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดความผันผวนรุนแรงบ่อยครั้งในเทือกเขาหิมาลัย ทั้งเสี่ยงต่อผู้ปีนเขาและเหล่าเชอร์ปาที่ทำงานอยู่ที่นั่น
ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในเนปาล ก็เกิดฝนตกหนัก ทำให้เกิดดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากตามมา คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 47 ราย
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป หลังจากสภาพอากาศดีขึ้นอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้ว การปีนเขาเอเวอเรสต์สามารถทำได้ในสองฤดูกาลหลัก คือ ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม–พฤษภาคม) และ ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน–พฤศจิกายน) เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงนี้ค่อนข้างคงที่และเหมาะสมต่อการปีน ดังนั้นสถานการณ์ที่อากาศแปรปรวนอย่างหนักในเดือนตุลาคมจึงมักไม่ค่อยเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว การพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกก็ยังเต็มไปด้วยอันตราย หนึ่งในพื้นที่เสี่ยงที่สุดคือ ธารน้ำแข็งคุมบุ (Khumbu Icefall) ที่สามารถถล่มได้ทุกเมื่อ ย้อนกลับไปวันที่ 18 เมษายน 2014 น้ำแข็งมหึมาถล่มลงมาคร่าชีวิตไกด์เชอร์ปา 16 คน
หลังโศกนาฏกรรม ครอบครัวผู้สูญเสียได้รับเงินชดเชยเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดการประท้วง จนรัฐบาลเนปาลยอมปรับเพิ่มเงินประกันชีวิตเป็น 1.5 ล้านรูปีเนปาล และอนุญาตให้ใช้เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงสัมภาระแทน