สำนักข่าว Khabarhub ของเนปาล รายงานว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลเนปาลได้เปิดเผยตัวเลขประเมินความเสียหายเบื้องต้น พบว่า เหตุประท้วงของกลุ่มเยาวชนและประชาชนเมื่อวันที่ 8 - 9 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้โครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลเสียหายมากกว่า 200,000 ล้านรูปีเนปาล (1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 44,380 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินความเสียหายจากทรัพย์สินโดยรวมของรัฐบาลเท่านั้น ยังไม่นับรวมเอกสารและบันทึกทางประวัติศาสตร์อันประเมินค่าไม่ได้ ก็ถูกเผาทำลายจนมอดไหม้ไปด้วย
แหล่งข่าวจากกระทรวงกล่าวว่า "โครงสร้างส่วนใหญ่ไม่สามารถซ่อมแซมได้อีกต่อไป ไม่ใช่แค่การซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่เหมือนหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว การสร้างขึ้นใหม่จะใช้งบประมาณสูงกว่า 200,000 ล้านรูปี" และเสริมว่า ตัวเลขประเมินนี้เป็นเพียงค่าอาคารเท่านั้น ไม่รวมงบประมาณอีกหลายพันล้านที่ต้องใช้ในการจัดตั้งและบริหารจัดการสำนักงาน
เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการพัฒนาเมืองระบุว่า อาคารสำคัญหลายแห่ง โดยเฉพาะ สิงหาดูร์บาร์ (Singha Durbar) เป็นพระราชวังเก่าแก่ในกรุงกาฐมาณฑุ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นทำเนียบรัฐบาลเนปาลในปัจจุบัน รวมไปถึงอาคารรัฐสภาและศาลฎีกา ซึ่งแต่ละแห่งมีมูลค่าการก่อสร้างหลายพันล้านรูปี ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้เป็นวงกว้าง
ความเสียหายไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาลเท่านั้น แต่ยังขยายไปทั่วจังหวัดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมสภา, สำนักงานมุขมนตรี, เรือนจำ, สถานีตำรวจ, สำนักงานที่ดิน, และอาคารสำนักงานเทศบาลหลายสิบแห่งถูกเผาจนเสียหายหมดสิ้น วิศวกรของกระทรวงคนหนึ่งกล่าวว่า "แค่คิดว่าจะสร้างอาคารเหล่านี้ขึ้นมาใหม่เมื่อไร อย่างไร และด้วยทรัพยากรอะไร ก็รู้สึกท้อแท้แล้ว"
กระทรวงฯ ระบุว่า ความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในเมืองหลวง แต่เมืองสำคัญอื่น ๆ เช่น โปขระ, อิทาหรี, ชนกปุระ, ธังคธิ และพิรัตนคร ก็มีอาคารสำนักงานรัฐบาลถูกเผาเช่นกัน กลุ่มอนาธิปไตยที่แฝงตัวเข้ามาในการประท้วงของกลุ่ม Gen-Z เมื่อวันอังคารได้สร้างความเสียหายเป็นพิเศษ พวกเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่สถาบันของรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวและของชุมชนด้วย ที่พักอาศัยของผู้นำทางการเมือง, อาคารสำนักงานธุรกิจ, โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว, โชว์รูมรถยนต์, สำนักข่าว, และสิ่งอำนวยความสะดวกในท้องถิ่นถูกทำลายและจุดไฟเผา
การประท้วงบานปลายกลายเป็นความรุนแรงหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดฉากยิงในระหว่างการชุมนุมเมื่อวันจันทร์ที่ 8 กันยายน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 19 คน ในวันอังคาร กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบฉวยโอกาสจากการชุมนุมเพื่อจุดไฟเผาอาคารของรัฐและชุมชนตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดพุ่งสูงถึง 34 คน และมีผู้บาดเจ็บหลายพันคน
ความเสียหายครั้งนี้ส่งผลให้กลไกการทำงานของรัฐบาลเนปาลเป็นอัมพาต รัฐบาลกลางทั้งสามฝ่ายกำลังประสบปัญหาในการทำงาน โดยศาลฎีกากำลังพยายามปฏิบัติงานจากเต็นท์ที่สร้างขึ้นชั่วคราว
สิงหาดูร์บาร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของฝ่ายบริหาร มีสำนักงานส่วนใหญ่ถูกทำลายด้วยไฟไหม้ ในขณะที่อาคารรัฐสภาในย่านนิวบานีสวอร์ก็ถูกเผาจนวอดวาย ทำให้เกิดคำถามว่าสมาชิกสภาจะไปประชุมกันที่ไหนเมื่อสถานการณ์กลับสู่ความสงบ แม้จะมีการพูดคุยถึงการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่าไม่มีสถานที่ที่สมบูรณ์พอจะใช้ทำงานเหลืออยู่เลย แม้แต่จะใช้สำหรับจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีในอนาคต
โรงแรมฮิลตันในกาฐมาณฑุเป็นอีกแห่งที่ถูกผู้ประท้วงเผาทำลาย เนื่องจากเชื่อว่า บุตรชายของ “ตะกูลบาฮาดูร์”เป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนหลักของโรงแรมแห่งนี้ เนื่องจากของเขาบิดาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีเนปาล และมารดาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่มีประวัติคอร์รัปชันหลายคดี
ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเนปาลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผู้ประท้วงได้จุดไฟเผา โรงแรมฮิลตัน ซึ่งเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในกาฐมาณฑุ โรงแรมแห่งนี้เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 5,000 ล้านรูปีอินเดีย (ประมาณ 2,200 ล้านบาทไทย) สร้างโดยกลุ่มบริษัท Shankar Group และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โรงแรมแห่งนี้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเนปาลในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
ตามข้อมูลของ สมาคมประกันภัยแห่งเนปาล (NIA) บริษัทประกันภัยอาจต้องเผชิญกับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสูงกว่า 31,000 พันล้านรูปีเนปาล (ประมาณ 1.35 แสนล้านบาทไทย) ความเสียหายครั้งนี้มากกว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2015 ถึงสามเท่า ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยและธนาคารเชื่อว่านี่คือช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเนปาล โดย NIA และธนาคารกลางเนปาลกำลังร่วมกันรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น
นอกเหนือจากโรงแรมฮิลตันแล้ว ผู้ประท้วงยังได้จุดไฟเผาธุรกิจเอกชนหลายแห่ง เช่น Bhatbhateni Supermarket, Ncell, CG Electronics, Global College, Ullens School, Suzuki Showroom และ Central Business Park รวมถึงที่ทำการต่าง ๆ ของธนาคาร Rastriya Banijya Bank, Himalayan Bank, Standard Chartered Bank และ Global IME Bank ก็ถูกทำลายเสียหายด้วย