สำนักข่าว Al Jazeera Arabic รายงานว่า กองกำลังอิสราเอลได้ควบคุมตัวชาวปาเลสไตน์มากกว่า 100 คนในการบุกค้นเมืองทุลคาเรมในเขตเวสต์แบงก์ และได้ประกาศเคอร์ฟิว ขณะที่การโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซาได้บีบบังคับให้ชาวปาเลสไตน์มากกว่า 200,000 คนต้องหนีออกจากใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี้ ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอลได้เข้าปฏิบัติการบุกค้นในทุลคาเรม หลังจากได้รับรายงานว่า ทหารอิสราเอล 2 นายได้รับบาดเจ็บ จากเหตุที่รถของพวกเขาถูกโจมตีด้วยระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว
กองกำลังอิสราเอลได้เปิดฉากปฏิบัติการใช้ความรุนแรงในเขตเวสต์แบงก์ หลังจากมีผู้เสียชีวิตหกคนในเหตุการณ์ยิงโจมตีในเยรูซาเล็มตะวันออกเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ โดยกองพลอัล-กัสซัมของกลุ่มฮามาส ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบในการยิงครั้งนี้ ซึ่งผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุ 2 คน ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
หลังจากที่ฮามาสออกมายืนยันการโจมตี กองทัพอิสราเอลได้สั่งรื้อถอนบ้านของผู้ต้องสงสัยทั้งสองคน รวมถึงการลงโทษสมาชิกในครอบครัวและผู้อาศัยในเมืองของพวกเขา ได้แก่ กอตอนนา (Qatanna) และ อัล-กูเบบา (al-Qubeiba) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเยรูซาเล็มในเขตเวสต์แบงก์
ฮัมดา ซัลฮุต นักข่าวของ Al Jazeera กล่าวว่า “พื้นที่เหล่านี้ถูกปิดล้อมและล็อกดาวน์โดยสมบูรณ์ และการลงโทษแบบเหมารวมกำลังเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในเขตเวสต์แบงก์”
อิสราเอลเดินหน้าปฏิบัติการปราบปรามฮามาสในเขตเวสต์แบงก์อย่างหนัก นับตั้งแต่เปิดฉากสงครามทำลายล้างในกาซา โดยได้สังหารชาวปาเลสไตน์กว่า 1,000 คน จับกุมชาวบ้านหลายพันคน และรื้อถอนบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนหลายร้อยแห่ง นับว่าเป็นการตรึงกำลังอย่างเข้มงวดและรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่สงครามอิสราเอลและฮามาสปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023
ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลได้ผลักดันให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 40,000 คนต้องพลัดถิ่นฐาน เอริกา เกวารา โรซาส ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย การสนับสนุน นโยบาย และการรณรงค์ของ Amnesty International กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ระบุว่า
“ปฏิบัติการทางทหารที่ร้ายแรงของอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้เงาอันน่าสะพรึงกลัวของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างต่อเนื่องในฉนวนกาซา ได้ส่งผลกระทบที่เลวร้ายอย่างยิ่งต่อชาวปาเลสไตน์ที่ต้องพลัดถิ่นหลายหมื่นคน ซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นและไม่มีโอกาสที่จะกลับไปได้ การอพยพบุคคลเช่นนี้ นับว่าผิดกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดร้ายแรงต่ออนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 และเป็นอาชญากรรมสงคราม”
การขึ้นสู่อำนาจของผู้นำขวาจัดได้ผลักดันให้อิสราเอลเข้าสู่แนวทางการยึดครองที่เข้มข้นขึ้น โดยนักการเมืองในระดับสูงสุด รวมถึงนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ได้แสดงวาทกรรมต่อต้านชาวปาเลสไตน์อย่างเปิดเผย ระบุว่า “เราจะทำตามคำสัญญาว่าจะไม่มีรัฐปาเลสไตน์ เพราะสถานที่นี้เป็นของอิสราเอล”
การตั้งถิ่นฐานทั้งหมดถือว่าผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและถูกมองว่าเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เรียกร้องให้อิสราเอลยุติการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมายภายในหนึ่งปี แต่กระนั้น อิสราเอลก็ยังคงขยายอำนาจโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและบรรทัดฐานระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง
ล่าสุด การโจมตีของอิสราเอลทั่วฉนวนกาซาทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 25 รายในวันนี้ โดยกองทัพอิสราเอลโจมตีพื้นที่กาซาซิตี้และเมืองอื่น ๆ โดยรอบ ในจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว เหยื่อ 14 ราย ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน เสียชีวิตจากการโจมตีครั้งเดียวในพื้นที่อัลตาวาม
ทั้งนี้ สงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซา คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 64,656 ราย และบาดเจ็บ 163,503 ราย นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เชื่อว่ายังมีอีกหลายพันคนยังคงจมอยู่ใต้ซากปรักหักพัง มีผู้เสียชีวิตในอิสราเอลรวม 1,139 ราย ระหว่างการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และมีผู้ถูกจับเป็นเชลยประมาณ 200 ราย