Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
YLGชี้ปี69 ทองแตะ60,000บาท ชี้คนไทยอู้ฟู่ติดอันดับ10ซื้อทองสูงสุดในโลก
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

YLGชี้ปี69 ทองแตะ60,000บาท ชี้คนไทยอู้ฟู่ติดอันดับ10ซื้อทองสูงสุดในโลก

12 ก.ย. 68
12:05 น.
แชร์

YLG มองทองปี 69 มองไทยขึ้นได้ถึง 60,000-65,000 หากเงินบาทไม่แข็งค่าเกินไป ชี้คนไทยซื้อทองสูง ติดอันดับ 10 โลก และอันดับ 4 ของเอเชีย

สองผู้บริหารจากบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล และ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส เปิดเผยมุมมองต่อทิศทางราคาทองคำ โดยเชื่อว่าปัจจัยหลักที่จะหนุนราคาทองในช่วงที่เหลือของปีนี้คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 17-18 กันยายน ซึ่งตลาดมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

หากเฟดลดแรงถึง 50 จุดฐาน ราคาทองคำโลกมีโอกาสทะลุแนวต้านสำคัญที่ 3,750 ดอลลาร์ และอาจไต่ไปถึง 4,000 ดอลลาร์ได้ ส่วนราคาทองคำในประเทศแม้ถูกกดดันจากเงินบาทแข็งค่า แต่ยังมีแนวโน้มแตะ 56,000 บาทต่อบาททองคำภายในสิ้นปีนี้ และอาจถึงระดับ 60,000-65,000 บาทในปี 2569 หากค่าเงินบาทไม่แข็งหลุดระดับ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

ด้านความต้องการทองคำในประเทศไทยยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยปี 2567 ไทยมีดีมานด์ทองคำเพื่อการบริโภค 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า จนติดอันดับ 10 ของโลกและอันดับ 4 ของเอเชีย และในครึ่งปีแรกของปี 2568 ความต้องการพุ่งขึ้นอีก 21% เป็น 20.7 ตัน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่าทองคำไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ปลอดภัยในเวทีโลก แต่กำลังกลายเป็นเครื่องมือออมและลงทุนที่คนไทยนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมทองคำไทยยังเดินหน้าจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลการค้าทองคำออนไลน์ (SRO) เพื่อสร้างมาตรฐาน โปร่งใส และเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในระยะยาว

เฟด-เศรษฐกิจโลกหนุนทองยังขาขึ้น ปลายปี 68 คาดถึง 56,000 บาท

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักที่ยังหนุนราคาทองคำให้ยืนในทิศทางขาขึ้นชัดเจนในปัจจุันมีอยู่สี่เรื่องสำคัญ ได้แก่ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งตลาดมั่นใจเกือบ 100% ว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยต้องลุ้นว่าจะลด 25 หรือ 50 จุดฐาน (basis points) หากลดเพียง 25 จุด ทองคำอาจปรับขึ้นแต่ไม่แรงมากนัก แต่ถ้าลด 50 จุด จะช่วยหนุนให้ราคามีโอกาสไปได้ไกลกว่า 

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ซบเซา นโยบายการเงินของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่มักสร้างความประหลาดใจต่อตลาดอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก ทั้งความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-เวเนซุเอลา รวมถึงการแข่งขันด้านอิทธิพลในเอเชียระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในลาวและกัมพูชา

ในเชิงเทคนิค ราคาทองคำล่าสุดทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 3,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และกำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 3,750 ดอลลาร์ หากไม่สามารถผ่านได้ คาดว่าจะมีแรงขายทำกำไร (take profit) และราคาจะย่อตัวลง แนวรับแรกอยู่ที่ 3,500 ดอลลาร์ หากหลุดลงมาจะไปทดสอบที่ 3,400 ดอลลาร์ และสุดท้ายที่ 3,350 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดรับสำคัญ หากยังรักษาระดับนี้ได้ ราคาทองคำก็ยังมีโอกาสไปต่อ แต่ถ้าหลุดต่ำกว่า อาจส่งผลลบต่อ sentiment ของตลาด ขณะที่แนวต้านใหญ่หากทะลุ 3,750 ดอลลาร์ได้ จะมีเป้าหมายถัดไปที่ 3,850 ดอลลาร์, 3,950 ดอลลาร์ และสุดท้ายที่ 4,000 ดอลลาร์ โดยนางพวรรณ์ย้ำว่า หากราคาทองทะลุ 4,000 ดอลลาร์ได้จริง จะเป็นการเปิดรอบขาขึ้นใหม่ของทองคำโลก

อีกปัจจัยหนุนสำคัญคือกระแส “de-dollarization” ของกลุ่ม BRICS ที่ทยอยปรับลดการถือครองทุนสำรองสกุลดอลลาร์สหรัฐและหันมาสะสมทองคำมากขึ้น โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเฉลี่ยปีละ 1,000 ตัน ขณะที่ปีนี้ในช่วงครึ่งปีแรกได้ซื้อไปแล้วกว่า 400 ตัน คาดว่าตลอดทั้งปีจะสูงถึง 800 ตัน ซึ่งเป็นแรงซื้อต่อเนื่องที่ทำให้ราคาทองคำไม่ปรับลงลึกมากนัก เธอกล่าวว่า “ทองคำจึงมีแรงรับอยู่เสมอ แม้จะปรับฐาน แต่ก็ยังได้รับการซัพพอร์ตจากการที่ประเทศต่างๆ liquidate ดอลลาร์แล้วหันมาถือทองคำแทน”

สำหรับราคาทองคำในประเทศ ปัจจุบันอยู่ในกรอบ 54,000-55,000 บาท เดิม YLG เคยประเมินว่าสิ้นปีอาจแตะ 60,000 บาท แต่จากสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่ามากในระดับ 31.7 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้โอกาสนั้นลดลง โดยนางพวรรณ์ประเมินว่า “สิ้นปีนี้ราคาทองคำไทยไม่น่าจะเกิน 56,000 บาท” ทั้งนี้ นางพวรรณ์ยังมองว่าหากราคามีการย่อตัวลง นั่นจะเป็น “จังหวะในการเข้าซื้อ” โดยผู้ลงทุนควรจับตาการประชุมนโยบายการเงินเฟดวันที่ 17-18 กันยายนนี้อย่างใกล้ชิด เพราะผลการลดดอกเบี้ยว่าจะอยู่ที่ 25 หรือ 50 จุด จะเป็นตัวกำหนดทิศทางสำคัญของราคาทองคำในช่วงต่อไป

ปี 69 ทองไทยอาจแตะ 60,000 บาท คนไทยซื้อทองติดอันดับ 10 ของโลก

นางฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะดำเนินไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปีข้างหน้า โดยขณะนี้ราคาทองคำโลกอยู่ที่ราว 3,600 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และมีแนวโน้มปรับขึ้นแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์ภายในครึ่งปีหน้า หากค่าเงินบาทไม่แข็งค่าหลุดระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์ มีโอกาสสูงที่ราคาทองคำในประเทศจะทะลุระดับ 60,000-65,000 บาทต่อบาททองคำ

ปัจจัยสนับสนุนหลักคือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กลางเดือนกันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าและกระตุ้นการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะจีน ก็ยังเดินหน้าซื้อสะสมทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนตั้งเป้าขยายการถือครองจากระดับปัจจุบัน 2,300 ตัน ไปสู่ 5,000 ตัน ส่งผลให้สัดส่วนทองคำต่อทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มจาก 7% เป็นราว 20% ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยหนุนราคาทองในระยะยาว

ทั้งนี้ หากมองในเชิงประวัติศาสตร์ ราคาทองคำตลอด 40-50 ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้นเฉลี่ยปีละราว 10% ยกเว้นช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ราคาพุ่งแรงถึง 20-30% จากแรงกดดันภายนอกที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันหาสินทรัพย์ปลอดภัย นางฐิภามองว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า แนวโน้มที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะทยอยลดการถือครองเงินดอลลาร์และหันมาเพิ่มทองคำจะชัดเจนขึ้น กระแส “ลดดอลลาร์-เพิ่มทองคำ” จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการปรับขึ้นของราคาทอง

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์และความไม่สงบในหลายภูมิภาคยังคงทำให้ทองคำมีความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์หลบภัย โดยในภาวะที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ นักลงทุนมักเพิ่มสัดส่วนทองคำในพอร์ตการลงทุน ซึ่งระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ราว 10% ของเงินออมหรือเงินลงทุนทั้งหมด

ในมิติของผู้บริโภค ปี 2567 ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคของไทย (ไม่รวมธนาคารกลาง) อยู่ที่ 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า ถือว่าสูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ไทยก้าวขึ้นอันดับ 10 ของโลกและอันดับ 4 ของเอเชีย อีกทั้งยังเป็นประเทศเดียวที่ยอดบริโภคทองคำเติบโตต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน (2564-2567) หลังการระบาดโควิด-19 ขณะที่ครึ่งแรกปี 2568 ความต้องการทองคำแตะ 20.7 ตัน เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำว่าตลอดปีนี้จะไม่น้อยกว่าปีก่อน โดยเฉพาะในด้านการลงทุน

ผลสำรวจล่าสุดสะท้อนว่านักลงทุนไทยกว่า 97% ถือครองทองคำ โดย 20% เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ และ 77% เป็นผู้ที่ลงทุนอยู่แล้ว มีเพียง 3% ที่ไม่ลงทุนในทองคำ โดยให้เหตุผลว่าขาดความรู้และไม่รู้จักช่องทางเข้าถึงที่ง่าย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเกือบครึ่งยังคงกังวลปัญหาสินค้าปลอม มาตรฐานความบริสุทธิ์ และความปลอดภัยในการเก็บรักษา ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนสำคัญของตลาดไทย

นางฐิภาแนะนำว่า ผู้ที่ต้องการสะสมทองคำควรใช้กลยุทธ์ทยอยซื้อ โดยเฉพาะเมื่อราคาย่อลงสู่ระดับ 50,000 บาทต้น ๆ ซึ่งถือเป็นจังหวะที่น่าสนใจ และควรแบ่งซื้อเป็นระยะเพื่อเฉลี่ยต้นทุน พร้อมย้ำว่าแนวโน้มใหญ่ยังเป็นขาขึ้น ไม่ควรรีบขายทำกำไรในช่วงนี้ สำหรับผู้ที่ถือทองอยู่แล้วควรเก็บไว้ เพราะราคายังมีโอกาสขยับขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปีถึงต้นปีที่ความต้องการบริโภคสูงและตรงกับฤดูกาลเทศกาลซื้อขายทอง

สำหรับผลกระทบของราคาทองต่อค่าเงิน เธอเสริมว่า แม้ทองคำอาจมีผลต่อค่าเงินบาทบ้าง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก การแข็งค่าของเงินบาทส่วนใหญ่สะท้อนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากกระแสการขายดอลลาร์ทิ้งในตลาดโลกมากกว่า ขณะที่พฤติกรรมของผู้บริโภคไทยมักซื้อทองเพื่อเก็บสะสมและออมระยะยาว แม้ในช่วงราคาทองพุ่งแรงจะมีแรงขายออกเพื่อทำกำไร แต่โดยรวมแล้วคนไทยยังนิยมซื้อเพื่อออมและเก็งกำไร โดยเฉพาะในช่วงราคาผันผวน

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและผู้บริโภค สมาคมผู้ค้าทองคำ ภาคเอกชน และ YLG ได้ร่วมกันก่อตั้งองค์กรกำกับดูแลการค้าทองคำออนไลน์ (Self-Regulatory Organization: SRO) โดยมีคณะอนุกรรมการ 7 คน วาระ 4 ปี และดำรงตำแหน่งได้สูงสุด 2 วาระ สมาชิกต้องเป็นนิติบุคคลไทยที่มีทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 200 ล้านบาท และได้รับใบอนุญาตค้าทองคำออนไลน์ตามเกณฑ์

บทบาทหลักของ SRO คือการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมทองคำไทย ทั้งการรับรองราคาที่เป็นธรรม ป้องกันสินค้าปลอม ดูแลระบบความปลอดภัยและข้อมูลลูกค้า เปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์และราคาอย่างโปร่งใส รวมถึงจัดตั้งช่องทางร้องเรียนและระบบประเมินสมาชิก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในระยะยาว สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และทำให้อุตสาหกรรมทองคำไทยโปร่งใส ยั่งยืน และแข่งขันได้บนเวทีโลก

โดยสรุป ผู้บริหาร YLG ทั้งสองเห็นพ้องกันว่า ทองคำยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น ปัจจัยจากเฟดที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย ภาวะเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่ไม่แน่นอน และแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก จะช่วยหนุนราคาทองคำให้ไปทดสอบระดับ 4,000 ดอลลาร์ได้ ส่วนราคาทองคำไทยแม้เผชิญแรงกดดันจากเงินบาทแข็งค่า แต่ยังมีลุ้นแตะ 56,000 บาทในสิ้นปีนี้ ขณะที่ความต้องการทองคำในประเทศก็เติบโตแรงจนติดท็อป 10 ของโลก และการจัดตั้ง SRO ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมทองคำไทย เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อเนื่องในอนาคต


แชร์
YLGชี้ปี69 ทองแตะ60,000บาท ชี้คนไทยอู้ฟู่ติดอันดับ10ซื้อทองสูงสุดในโลก