Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
มองสังคมสหรัฐฯ ผ่านการตายของชาร์ลี เคิร์ก เหยื่อกระสุนผู้หนุนเสรีปืน
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

มองสังคมสหรัฐฯ ผ่านการตายของชาร์ลี เคิร์ก เหยื่อกระสุนผู้หนุนเสรีปืน

11 ก.ย. 68
16:49 น.
แชร์

ช่วงบ่ายวันที่ 10 กันยายน 2568 ตามเวลาท้องถิ่น ชาร์ลี เคิร์ก นักกิจกรรมทางการเมืองสายอนุรักษ์นิยม ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างปราศัยที่มหาวิทยาลัยยูทาห์วัลเลย์ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตกใจในสังคม และดึงความสนใจมาสู่ความเสรีของกฎหมายปืน และสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในสหรัฐฯ 

สังคมแทบจะเสรีปืน

อาวุธปืนเป็นอย่างหนึ่งที่หยั่งรากลึกในสังคมสหรัฐฯ ในลักษณะที่หาได้ยากในพื้นที่อื่นของโลก การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่สองเปิดทางให้การครอบครองปืนเป็นสิทธิของประชาชน โดย Pew Research ชี้ว่า ผู้ใหญ่ชาวสหรัฐฯ กว่า 1 ใน 3 ถือครองปืนอยู่

แม้จะมีกฎหมายควบคุมการใช้อาวุธปืน แต่การซื้อปืนในสหรัฐฯ สำหรับปืนลูกซองและปืนไรเฟิลนั้น กฎหมายกำหนดเพียงแค่ว่า ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป (ถ้าอายุ 21 ปีขึ้นไปซื้ออาวุธชนิดอื่นได้ด้วย) ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ความรุนแรงในครอบครัว และการโยกย้ายถิ่นฐานเท่านั้น อาจมีรายละเอียดแตกต่างบ้างในแต่ละรัฐ แต่การครอบครองปืนไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก

สาเหตุที่ชาวอเมริกันรู้สึก “ปกติ” กับการถือครองปืนเป็นเพราะสังคมสหรัฐฯ ใช้ปืนเป็นเครื่องมือในชีวิตประจำวันมานาน ย้อนหลังไปจนถึงสงครามการปฏิวัติอเมริกัน และปรากฎในสังคมยาวนานทั้งในการป้องกันตนเอง ล่าสัตว์ การต่อสู้ และกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ สร้างความรู้สึกคุ้นเคยกับสังคมที่พลเมืองครองปืนเป็นปกติ หลายคนสะท้อนว่า รู้สึกไม่ปลอดภัยหากตนเองไม่มีปืน แต่รู้ว่าคนอื่นในสังคมต่างครอบครองปืนเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ปืนไม่ได้ปรากฎแค่ในการป้องกันและกิจกรรมไร้อันตราย แต่การเข้าถึงปืนได้ง่ายยังเป็นปัญหาความปลอดภัยในสังคม ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคสหรัฐฯ ชี้ว่า ในปี 2567 ในสหรัฐฯ มีคนเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับปืนมากถึงเดือนละ 3,800 คน หรือเฉลี่ยวันละ 125 คน และในปี 2566 ราววันละ 128 คน

ข้อมูลจาก Gun Violence Archive ชี้ว่า ในปี 2567 มีเหตุการณ์กราดยิง (นับเมื่อมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 4 คนขึ้นไป) ถึง 488 ครั้งในสหรัฐฯ ซึ่งนับว่าน้อยลงแล้ว เพราะระหว่าปี 2566 มีการกราดยิงถึง 627 ครั้ง หรือเกือบ 2 ครั้งต่อวันทีเดียว ในปี 2565 มีเหตึเกิด 645 ครั้ง และ 690 ครั้งในปี 2564

มีการเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้มีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดขึ้น หรือเพิ่มกระบวนการในการซื้อปืนผ่านร่างกฎหมายหลายฉบับ อาทิ Fox NICS, Manchin-Toomey, No Fly-No Buy และอื่นๆ แต่มีการวิจารณ์ว่า การตรวจสอบประวัติจะเป็นการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของบุคคล แม้แต่ทรัมป์เองก็เสนอให้เพิ่มอายุขั้นต่ำในการซื้อปืนมาอยู่ที่ 21 ปี แทน 18 ปี

ไม่ใช่แค่การเข้าถึงอาวุธได้ง่ายที่สะท้อนผ่านการตายของชาร์ลี เคิร์ก แต่ยังมีความแตกแยกในสังคมสหรัฐฯ ด้านแนวคิดทางการเมือง ที่นำมาสู่ความรุนแรงต่อเนื่อง

ความรุนแรงจากมุมมองแตกต่างทางการเมือง

ก่อนหน้าเคิร์กถูกยิงเสียชีวิต อีกเหตุการณ์ลอบสังหารที่เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลกคือ ความพยายามลอบสังหารผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 2 ครั้งในเดือนกรกฎาคมและกันยายนปี 2567 สะท้อนการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือทางการเมืองในยุคปัจจุบัน

The Guardian อ้างผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยชิคาโกชี้ว่า มีการยอมรับการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ทางการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ โรเบิร์ต เปป ผู้นำการวิจัยให้สัมภาษณ์กับ the New York Times ว่า ผู้สนับสนุนทั้งฝั่งรีพับลิกันและเดโมแครตสนับสนุนการใช้กำลังต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง (ผลสำรวจชี้ว่า เดโมแครต 40% สนับสนุนการใช้กำลังไล่ทรัมป์ และรีพับลิกัน 25% สนับสนุนการใช้กองทัพจัดการการประท้วงต้านทรัมป์)

ความรุนแรงทางการเมืองปรากฎเด่นขึ้นในสังคมอเมริกันมาตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1960- 2523 (1960s) และพบได้มากขึ้นอีกช่วงทศวรรษที่  เรื่อยมา นอกจากนี้ Reuters ชี้ว่า ความรุนแรงทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2559 ใกล้ ๆ กับการขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของทรัมป์ 

แม้การใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในโลกการเมืองปรากฎมานานแล้วในสหรัฐฯ แต่บทความของ Reuters ชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2533 (1970s) เป็นต้นมา ความรุนแรงทางการเมืองพุ่งเป้าไปที่ “ตัวบุคคล” แทน “ทรัพย์สิน” อย่างที่ปรากฎในยุคก่อนหน้า 

ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 Reuters ระบุเหตุความรุนแรงด้วยเหตุการเมืองได้ 213 เหตุการณ์ และกว่า 140 เหตุการณ์เป็นการทำร้ายร่างกายหรือพุ่งเป้าที่ตัวบุคคล

ฝ่ายผู้กระทำยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ช่วงทศวรรษที่ 2533 และก่อนหน้า ผู็ก่อความไม่สงบมักมาจากฝ่ายซ้าย ความรุนแรงที่พบบ่อยคือ การลอบวางระเบิดที่อาคารในช่วงกลางคืน จุดหมายคือทำลายทรัพย์สินของรัฐบาล 

ในปัจจุบัน เมื่อฝ่ายซ้ายมีอำนาจในเวทีการออกนโยบายและทำเนียบรัฐบาลมากขึ้น ฝ่ายขวากลับเป็นผู้ก่อความรุนแรงมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งทางการเมือง มูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ เรเชล ไคล์นเฟลด์ ชี้ว่า “พุ่งเป้าที่ตัวบุคคล และจบชีวิตบุคคลมากขึ้น”

และเหยื่อคนล่าสุดของความรุนแรงคือ ชาร์ลี เคิร์ก

ใครคือชาร์ลี เคิร์ก

ชาร์ลี เจมส์ เคิร์ก (Charlie James Kirk) เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2536 ที่เมืองอาร์ลิงตันไฮทส์และโพรสเพคไฮทส์ ทางตะวันตกเฉัยงเหนือของเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอย ที่เป็นหนึ่งในฐานเสียงอันแข็งแรงของพรรคเดโมแครต

เคิร์กสนใจการเมืองมาตั้งแต่อายุน้อย เขาเรียนที่โรงเรียนวีลลิงไฮสคูล (Wheeling High) และเริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย เขาสนับสนุนนักการเมืองพรรครีพับลิกัน มาร์ก เคิร์ก ผู้ที่นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่ได้เป็นฐาติกันแต่อย่างใด ในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เขาเขียนบทความวิจารณ์การปลูกฝังแนวคิดเสรีนิยมในตำราเรียนให้ Breitbart News ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับ Fox Business 

เมื่อดาวเด่นในหมู่เยาวชนฝ่ายขวาอายุได้ 18 ปี เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์เปอร์ (Harper College) มหาวิทยาลัยชุมชนในพื้นที่ แต่ยุติการศึกษาต่อมาไม่นาน เพื่อมุ่งหน้าทำงานด้านกิจกรรมทางการเมืองอย่างเต็มที่ ในปีเดียวกัน เคิร์กก่อตั้งกลุ่ม Turining Point USA โดยได้รับแรงบันดาลใจมากจาก การเคลื่อนไหว “งานเลี้ยงน้ำชา” (the Tea Party Movement) การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในพรรครีพับลิกัน

เคิร์กเคยกล่าวไว้ว่า มหาวิทยาลัยในฝันของเขาคือ โรงเรียนนายร้อยสหรัฐอเมริกาเวสต์พอยท์ (the United States Military Academy) แต่ถูกปฏิเสธรับเข้าศึกษา เคิร์กอ้างว่า เขาไม่ได้รับให้เข้าเรียนเพราะที่นั่งถูกแบ่งไปให้ “ผู้สมัครเพศอื่นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมน้อยกว่ามาก” สะท้อนมุมมองอนุรักษ์นิยมด้านเพศของเขาที่จะปรากฎชัดในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ เคิร์กยังเป็นสมาชิก Council for Nation Policy กลุ่มที่เคลื่อนไหวสนับสนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยมและพรรครีพับลิกัน กลุ่มที่เป็นจุดรวมตัวของนักเคลื่อนไหวอนุรักษ์นิยม 

สัมพันธ์เคิร์ก-ทรัมป์ ตัวแปรสำคัญการเลือกตั้ง

เคิร์กเริ่มสนับสนุนทรัมป์ในปี 2559 ช่วงแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยแรกของทรัมป์ แม้จะเคยกล่าวว่า “ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของทรัมป์ แต่จะโหวตให้เขาอยู่ดี” เขาปรากฎตัวร่วมกับ อีริค ทรัมป์ และลารา ทรัมป์ในงานของ Fox News และกล่าวถึงทรัมป์ในเชิงสนัยสนุนตั้งแต่ตอนนั้น

ต่อมาในปี 2562 เคิร์กเป็นประธานกลุ่ม “นักเรียนนักศึกษาเพื่อทรัมป์” และในปี 2020 เขาเป็นแกนนำนักศึกษากว่า 1 ล้านคนในแคมเปญเรียกร้องให้เลือกตั้งใหม่ หลังทรัมป์แพ้การเลือกตั้งให้ โจ ไบเดน

เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทรัมป์หาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดเช่นกัน ในทัวร์ปราศรัยตามมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า “พวกเธอกำลังถูกล้างสมอง” ที่เดินสายปราศรัยในมหาวิทยาลัย 25 แห่ง มุ่งเป้าคนรุ่นใหม่มากขึ้น เชื่อกันว่าทัวร์นี้มีบทบาทสำคัญในการส่งทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี

หลังการเสียชีวิตของเคิร์ก ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวอาลัยและยกย่องว่า เคิร์กและกลุ่ม TPUSA คือแรงสำคัญในการดันทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่ง ช่วยให้คนรุ่นใหม่เทใจมาที่พรรครีพับลิกันมากขึ้น ทรัมป์กล่าวว่า เขาได้รับเสียงโหวตจากคนรุ่นใหม่กว่า 37% ซึ่งสูงอย่างที่รีพับลิกันไม่เคยได้มาก่อน 

ทรัมป์ไม่ได้พูดลอย ๆ แต่แนวโน้มที่คนรุ่นใหม่เทใจให้พรรคสีแดงมากขึ้นปรากฎตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง รีพับลิกันได้รับคะแนนนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะจากเพศชายและผิวขาว ที่โหวตทรัมป์มากกว่าเพศหญิงและเพศหลากหลายอย่างเห็นได้ชัด อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ ศูนย์ข้อมูลและการวิจัยการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของพลเมืองที่ทัฟต์ส (CIRCLE) มหาวิทยาลัยทัฟต์ และงานวิจัย Trump’s victory among young voters

Turning Point Usa กลุ่มคนรุ่นใหม่ฝ่ายขวา

Turning Point USA หรือ TPUSA เป็นกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองที่ก่อตั้งในปี 2555 และขยายสาขาอย่างรสดเร็ว มีสาขาในมหาวิทยาลัยกว่า 850 แห่ง อ้างอิงตามเว็บไซต์ของกลุ่ม TPUSA กลุ่มได้ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มนักศึกษาแล้วกว่า 2,000 กลุ่ม กลุ่มศาสนามากกว่า 800 กลุ่ม และโรงเรียนกว่า 3,500 โรงเรียน 

TPUSA ดำเนินกิจกรรมโดยส่งตัวแทนไปมหาวิทยาลัย และจัดการประชุม การเจรจาเพื่อส่งเสริมแนวคิดอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ เพศ เชื้อชาติ และผู้อพยพ 

มีเสียงวิจารณ์จากฝ่ายที่เห็นต่างว่า เคิร์กขาดประสบการณ์การดำเนินงานในมหาวิทยาลัย และการออกทัวร์ปราศรัยอย่าง Culture War Tour ที่เขาเคยจัดก่อนหน้า ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย แต่เป็นการสร้างความเกลียดชังระหว่างกัน เช่นการสวมเสื้อ “สังคมนิยมห่วยแตก” 

นอกจากการเดินสายปราศรัย TPUSA ยังมีพอดแคสหลายรายการอาทิ “The Charlie Kirk Show” ที่เน้นเล่าเรื่องการเมืองจากมุมมองขวา หรือ “Culture Apothecary” ที่นำเสนอมุมมองความเป็นอยู่ ไลฟ์สไตล์แบบอนุรักษ์นิยม และแนวคิด Make American Healthy Again 

เมื่อเดินมิถุนายนที่ผ่านมา TPUSA ได้จัดการรวมตัวของผู้หญิงวัยเยาว์ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมกว่า 3,000 คน นำโดยภรรยาของเคิร์ก เอริกา เคิร์ก ที่สนับสนุนให้ผู้หญิงรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการแต่งงานก่อนการศึกษา

ก่อนการเสียชีวิตของเคิร์ก เขาเริ่มทัวร์ปราศรัยตามมหาวิทยาลัย เริ่มที่มหาวิทยาลัยยูทาห์วัลเลย์ ที่ที่เขาถูกลอบสังหารเสียชีวิตนี่เอง และยังมีกำหนดการประกาศสถานที่อีก 14 แห่งและอาจจะมีมากกว่านั้นที่เขาควรจะได้เดินทางไปปราศรัย 

มุมมองด้านสังคมของชาร์ลี เคิร์ก

มุมมองด้านเพศเป็นหนึ่งในมุมมองด้านสังคมที่เคิร์กพูดถึงมากที่สุด เขามีรายการพิเศษชื่อ Identity and Gender with Charlie Kirk (ตัวตนและเพศกับชาร์ลี เคิร์ก) ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565 ที่พูดถึงมุมมองด้านเพศอย่าง คนข้ามเพศ และร่างกายของพระคริสต์ตามหลักพระคัมภีร์ ซึ่งสะท้อนศรัทธาของเขาต่อคริสตศาสนานิกายคาทอลิก และส่งผลต่อแง่มุมทางสังคมในหลายด้าน

ในการสัมภาษณ์หลายครั้ง อาทิ กับ Fox News เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 และผ่านรายการพอดแคสต์ส่วนตัว เคิร์กสนับสนุนแนวคิดผู้หญิงควรให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อนหน้าที่การงาน และเชื่อว่า ผู้หญิงไม่สามารถทำสองสิ่งพร้อมกันได้

เขาไม่เชื่อในการมีอยู่ของคนข้ามเพศ กล่าวคือไม่เชื่อว่า คนข้ามเพศมีเพศสภาพตามที่ตนแสดงอก แต่ยังคงมีเพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด และเคยกล่าวว่า คนข้ามเพศมี “โรคทางสมอง” ที่ต้องการการรักษา เรียกร้องให้แบนการผ่าตัดแปลงเพศทั่วประเทศ

แนวคิดต่อผู้อพยพและต่อต้านชาวต่างชาติ ปรากฎในการโต้วาทีสาธารณะของเขาบ่อยครั้ง และยังเป็นหนึ่งในแนวคิดที่เขาต่อต้านโจ ไบเดน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เคิร์กโจมตีผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก โซห์ราน มัมดานี ว่าเป็น ปรสิต และชี้ว่า การที่เขาอยู่ในสหรัฐฯ เป็นข้อพิสูจน์ว่า กฎหมายการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายนั้นเป็นปัญหา เขาชี้ว่าปัญหาคือการที่ผู้มาใหม่ไม่ยึดถือค่านิยมเดิม

“กฎหมายให้คนเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายนั่นแหละที่เป็นปัญหา เมื่อคุณอนุญาตให้คนมากมายเข้าประเทศคุณได้ แต่พวกเขาไม่ได้ยึดถือคุณค่าเดียวกัน ผลก็คือพวกเขาไม่ได้กลมกลืนไปกับสังคมเสมอไป” เคิร์กกล่าว

มุมมองด้านกฎหมายปืนของเคิร์กเป็นอีกหัวข้อที่มีการวิจารณ์กันมาก ในเดือนเมษายนปี 2566 เคิร์ดกล่าวว่า การตายเพราะปืนบางกรณีนั้นบางครั้งน่าเศร้าแต่ “คุ้มค่า” ที่จะคงกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่สอง (The Second Amendment) หรือที่เรียกว่า กฎหมายครอบครองปืนไว้ ซึ่งคือการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐอเมริกาในการเก็บและพกพาอาวุธ ในฐานะสิทธิการป้องกันตัวของบุคคล

“คุณไม่มีวันจะได้อยู่ในสังคมที่คุณมีพลเมืองพกพาอาวุธ แล้วคุณจะไม่มีคนตายด้วยอาวุธปืนสักคนหรอก [...] มันคุ้มค่าต่อราคาที่ต้องจ่าย แม้จะน่าเศร้าก็ตาม ด้วยการตายเพราะปืนทุก ๆ ปี เพื่อให้เราได้มีกฎหมายครอบครองปืนต่อไป เพื่อปกป้องสิทธิของเราที่พระเจ้าให้มา มันเป็นข้อตกลงที่รอบคอบ และมีเหตุผล” เคิร์กกล่าว

เคิร์กกล่าวประโยคดังกล่าว หลังการกราดยิงที่แนชวิลล์ไม่กี่วันก่อนหน้า และทำให้เกิดการถกเถียงอีกครั้งว่า การเสรีปืนในสหรัฐฯ ควรจะยุติหรือไม่ 

เคิร์กมีมุมมองด้านสังคมอื่น ๆ ที่เป็นข้อถกเถียงอีก แต่ไม่ว่าจะมีมุมมองด้านสังคม โดยเฉพาะต่อการครอบครองปืนอย่างไร การเสียชีวิตของคาร์กเป็นเรื่องน่าเศร้า สะท้อนผลลัพธ์ของสังคมแทบจะเสรีปืน และดึงความสนในของสาธารณะมาสู่ความรุนแรงทางการเมือง (Political violence) ในสหรัฐฯ

แชร์
มองสังคมสหรัฐฯ ผ่านการตายของชาร์ลี เคิร์ก เหยื่อกระสุนผู้หนุนเสรีปืน